ดูแบบคำตอบเดียว
  #3  
เก่า 30-12-2011, 07:44
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,614
ได้ให้อนุโมทนา: 151,817
ได้รับอนุโมทนา 4,413,187 ครั้ง ใน 34,204 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เมื่อสภาพจิตของเราดำเนินไปจนถึงที่สุดแล้ว ก็จะค่อย ๆ คลายออกมาเองโดยอัตโนมัติ เหมือนอย่างกับคนเดินไปจนชนกำแพงแล้วไม่สามารถที่จะไปต่อได้ ก็ต้องถอยหลังกลับออกมา

ถึงวาระนี้ให้ทุกท่านระมัดระวังเป็นที่สุด เพราะว่าถ้าเผลอ จิตใจก็จะฟุ้งซ่านไปสู่ รัก โลภ โกรธ หลง เองโดยอัตโนมัติ และจะฟุ้งซ่านไปได้อย่างหนักแน่นมั่นคงมาก เพราะเอากำลังสมาธิของเราไปใช้ในการฟุ้งซ่าน เราจึงต้องรู้จักนำวิปัสสนาญาณมาให้จิตได้คิดและพิจารณา

อย่างเช่นว่า มองให้เห็นทุกข์ในอริยสัจ และสาเหตุของการเกิดทุกข์นั้น ๆ เมื่อเราไม่สร้างสาเหตุ ความทุกข์นั้นก็ไม่เกิด หรือว่ามองแบบไตรลักษณ์ เห็นทุกอย่างไม่เที่ยง ทุกอย่างเป็นทุกข์ ทุกอย่างไม่มีอะไรยึดถือมั่นหมายเป็นตัวตนเราเขาได้ หรือตามนัยวิปัสสนาญาณ ๙ มองให้เห็นการเกิดดับของสังขารร่างกายและวัตถุธาตุทั้งปวง

ไปจนกระทั่งถึงท้ายสุดก็คือการปล่อยวางในสภาพสังขารนี้ ไม่ยินดียินร้ายเมื่อเกิดสิ่งที่ดีหรือไม่ดีขึ้น ดูแลรักษาสังขารนี้ไปตามสภาพเพื่อเอาไว้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น ถ้าร่างกายนี้จะตายจะพังลงไป ก็ไม่ได้เกิดความห่วงหาอาวรณ์ใด ๆ ถ้าท่านสามารถรักษากำลังใจในการพิจารณาได้ดังนี้ จนสภาพจิตยอมรับ การก้าวเข้าสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้นก็ไม่ใช่ของยาก

ดังนั้นเมื่อภาวนาจนเต็มที่แล้ว สมาธิจิตคลายออกมา ให้รีบเร่งหาสิ่งดี ๆ ให้จิตพิจารณาไป จะได้นำกำลังสมาธินั้นมาช่วยในการตัดกิเลส หรือช่วยปัญญาให้มองเห็นกิเลสอย่างชัดเจน ช่วยให้เห็นช่องทางว่าเราจะไม่ปรุงแต่งอย่างไรให้เกิดทุกข์
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-12-2011 เมื่อ 02:56
สมาชิก 46 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา