พระอาจารย์กล่าวว่า “พอเลิกจากการปฏิบัติ จะยืน เดิน นั่ง นอน ดื่ม กิน คิด พูด ทำ ต้องรักษากำลังใจให้ทรงตัวได้เหมือนกับตอนที่เรานั่งปฏิบัติอยู่ ไม่อย่างนั้นแล้วอาตมาเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนเราว่ายทวนน้ำมา แล้วก็ปล่อยไหลตามน้ำไป ถึงเวลาก็ว่ายทวนน้ำขึ้นมาใหม่ แล้วก็ปล่อยไหลตามน้ำไปอีก กลายเป็นคนขยัน ทำงานทุกวันแต่ผลงานไม่มี เพราะว่าไหลไปเมื่อไรก็ไปแค่เดิม หรืออาจจะไปไกลกว่าเดิมเสียอีก
เรื่องของการปฏิบัติห้ามประมาทอย่างเด็ดขาด ประมาทเมื่อไรเราก็ไม่สามารถที่จะก้าวล่วงจากกองทุกข์ได้ ถ้าเกิดมาเป็นมนุษย์ก็แค่เสมอตัว ต้องทุกข์ยากลำบากเช่นเดิม แต่ถ้าลงไปเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉาน เราก็ขาดทุนย่อยยับ ถ้าเราตกนรกเมื่อไรไม่ได้แปลว่าโทษจะมาแค่ชาตินี้ แต่ของเก่ามีเท่าไรก็จะถูกทบดอกทบต้นจนหมด ก็แปลว่าเราอาจจะโชคดี ผ่านนรกไม่รู้กี่ขุมต่อกี่ขุม กว่าจะหลุดขึ้นมา เศษกรรมจะทำให้ต้องมาเป็นเปรตจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ลำบากลำบนกว่าที่จะหลุดมาอยู่ในแดนอสุรกาย กว่าจะหลุดมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานเท่าจำนวนที่เราฆ่าไว้ ฆ่า ๑ ชีวิตเกิดใช้หนี้ ๑ ชาติ ฆ่า ๒ ชีวิตเกิดใช้หนี้ ๒ ชาติ อาตมาเองฆ่ามานับไม่ถ้วน เกิดเมื่อไรซวยเมื่อนั้น
ดังนั้น..เราต้องระมัดระวังรักษากำลังใจให้ดี ไม่อย่างนั้นจะห่างไกลความดีไปมาก แล้วไม่รู้ว่าเมื่อไรจะมีพระพุทธศาสนาอีก ในเมื่อเราไม่รู้ การจะได้เกิดมาเป็นมนุษย์ก็ยังไม่รู้ว่าจะได้เกิดหรือไม่ แล้วจะได้พบพุทธศาสนาหรือเปล่า เพราะฉะนั้น..เกิดมาชาติหนึ่งอย่าให้เสียชาติเกิด อย่าให้คนเขากล่าวว่านับถือพุทธศาสนาเสียเปล่า แต่ไม่ได้ประโยชน์อะไรจากพระพุทธศาสนาเลย”
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 09-08-2015 เมื่อ 17:32
|