หมายเหตุ ที่ว่าผิดนั้น หมายความว่า ผิดไปจากที่พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เพราะโดยปกตินั้น พวกเราทุกคนที่เกิดมานี้เป็นคนโง่ ยังไม่หมดโง่ จึงต้องมาเกิดอยู่ ตราบใดที่พวกเรายังไม่หมดโง่ เราก็ยังต้องเวียนมาเกิดอยู่อย่างนี้ เพื่อพิสูจน์ความโง่ของตนเองจนกว่าจะหมดโง่
สันดานของคนโง่นั้น ๑๐๐% ย่อมต้องอวดดี อวดฉลาดอยู่เป็นธรรมดา เพราะใจเรายังตกอยู่ในอำนาจของกิเลส จึงถูกกิเลสมันบังคับให้คิด ให้พูด ให้ทำตามคำสั่งของมัน
พระพุทธเจ้าท่านได้บำเพ็ญบารมีมานานแสนนาน จนถึงชาติสุดท้ายเมื่อบารมีเต็มแล้ว จึงได้ลงมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายเพื่อพิสูจน์ความโง่เป็นครั้งสุดท้าย พระองค์ได้พิสูจน์โดยการปฏิบัติด้วยพระองค์เองอยู่ ๖ ปี จึงได้พบทางที่จะแก้ไขใจตนเองให้หมดโง่ หายโง่ก่อนผู้อื่นทุก ๆ คนในโลก
เมื่อพบวิธีแก้โง่ได้ด้วยพระองค์เองแล้ว จึงได้รวบรวมวิธีแก้โง่ หรือพระธรรม หรือโมกขธรรม หรือธรรมปฏิบัติเพื่อนำไปสู่ความพ้นทุกข์ (พ้นโง่) แล้วได้พิสูจน์พระธรรมคำสอนของพระองค์ ซึ่งแสดงไว้ในปฐมเทศนา โดยสอนท่านปัญจวัคคีย์ (ฤๅษีทั้ง ๕) ให้บรรลุเป็นพระอริยเจ้าได้ (ให้หายโง่ได้) เมื่อพิสูจน์ได้แล้ว จึงได้ประกาศพระศาสนาของพระองค์ ในวันมาฆบูชาทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ (ธรรมที่เป็นทางนำไปสู่ความหลุดพ้น หรือหายโง่)
ซึ่งจัดเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีความย่อ ๆ จำง่าย ๆ แค่ ๓ ข้อ คือ
๑. จงละความชั่วทั้งหมด
(แม้ความชั่วในอดีตก็จงอย่านำมาคิด เพราะจะทำให้จิตเศร้าหมอง)
๒. จงกระทำแต่ความดี
(อะไรที่เป็นความดีสิ่งนั้นเป็นบุญคือ ต้องไม่ขัดต่อศีลธรรม ความดีหรือชั่ว บุญหรือบาปอยู่ที่ความคิดของตนเองทั้งสิ้น)
๓. จงทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอ
(เพื่อให้พ้นจากอำนาจของกิเลส)
หรือจำสั้น ๆ ว่า ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้ผ่องใสอยู่เสมอแค่นี้ก็พอ