เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๕๘
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกทั้งหมดของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าออกยาว ๆ สัก ๒-๓ ครั้งเพื่อระบายลมหยาบออกให้หมด หลังจากนั้นปล่อยลมหายใจให้เป็นไปตามปกติ หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ที่เราถนัดมาแต่เดิม ไม่ว่าจะเป็น พุทโธ สัมมาอะระหัง นะมะพะธะ พองหนอยุบหนอ อิติสุคะโต หรือตัวบทพระคาถาใด ๆ ก็ได้
วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๖ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่อยากกล่าวถึง ก็คือ การปฏิบัตินั้นเราต้องหวังผลจริง ๆ เพราะการปฏิบัติถ้าไม่หวังผล สักแต่ว่าทำ ทำในลักษณะที่บางสำนวนกล่าวว่า ทำแบบแก้บน ก็คือไม่จริงจัง ทำเล่น ๆ ถ้าเป็นลักษณะอย่างนั้น โอกาสที่เราจะได้ดี คือมีโอกาสชนะกิเลสจะน้อยมาก ดังนั้น..การปฏิบัติของเรานั้นต้องทุ่มเทจริงจัง อย่างที่เราได้กล่าวไว้ตอนสมาทานพระกรรมฐานว่า มอบกายถวายชีวิต
ในเมื่อเรามอบกายถวายชีวิต ก็แปลว่า ต่อให้ยากลำบากถึงแก่ความตายลงไป เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ถ้าหากว่าทุกท่านสามารถมอบกายถวายชีวิตจริง ๆ โอกาสที่จะเข้าถึงมรรคผลก็อยู่แค่เอื้อม เพราะคนที่จะมอบกายถวายชีวิตได้ ก็แปลว่าไม่ห่วงใยไม่อาลัยในชีวิตนี้แล้ว ในเมื่อไม่ห่วงใยไม่อาลัยในชีวิตนี้ ก็แปลว่าเราไม่ได้ห่วงใยร่างกายซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์นี้ เมื่อเราไม่ห่วงใยร่างกายก็แปลว่าจิตของเราถอนห่างออกมาจากความยินดีและพอใจ ทั้งในร่างกายของตนเองและของคนอื่น สิ่งที่จะร้อยรัดเราให้ติดอยู่กับวัฏสงสารนี้ก็แทบจะหาไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เรารักเกินไปกว่าร่างกายนี้อีก ถ้าท่านทั้งหลายจะรัก ก็ขอให้รักตนเองในลักษณะที่ว่า เราต้องการนำพาตนเองให้พ้นทุกข์
การจะนำพาตนเองให้พ้นทุกข์ ก็ต้องทุ่มเทในการปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศีล เรื่องของสมาธิ หรือเรื่องของปัญญา โดยเฉพาะในระดับของพวกเรานี้ ให้เน้นในเรื่องของสมาธิเอาไว้ เนื่องจากว่าส่วนใหญ่รักษาศีลได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดีแล้ว ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ก็เหลือแต่ว่า ทำอย่างไรจึงจะสร้างสมาธิภาวนาของเราให้เข้มข้นเข้มแข็ง จนทรงเป็นอัปปนาสมาธิได้ ก็แปลว่าในแต่ละวัน เราต้องรักษาอารมณ์ใจให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
การที่เราทุกข์อยู่นี้ ส่วนใหญ่ทุกข์เพราะความคิดตนเอง ก็คือไปคิดถึงอดีตที่ผ่านมาแล้ว หรือคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ซึ่งการหวนหาอาลัยในอดีต หรือการฟุ้งซ่านไปในอนาคต พอคิดก็เริ่มทุกข์แล้ว ถ้าเราจะพ้นจากจุดนี้ได้ก็ต้องอยู่กับปัจจุบัน การที่เราจะอยู่กับปัจจุบันที่ดีที่สุด ก็คืออยู่กับลมหายใจเข้าออก อยู่กับคำภาวนาของเรา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 18-06-2015 เมื่อ 20:12
|