อย่างสุดท้ายเรียกว่า ผรณาปีติ รู้สึกซาบซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย ตัวพองตัวใหญ่ รู้สึกว่าหน้าใหญ่เท่าจานเท่ากระด้งก็มี บางคนรู้สึกว่าตัวรั่วเป็นรู มีอะไรไหลออกจากตัวซู่ซ่าไปหมด บางคนก็เห็นแสงเห็นสีต่าง ๆ บางคนก็รู้สึกว่าตัวแตกตัวระเบิดเป็นจุณไปเลย
อาการทั้ง ๕ อย่างนี้ อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นกับเรา ขอให้เรารู้ว่าเราก้าวเข้าถึงอุปจารสมาธิเต็มตัวแล้ว ถ้าถามว่าจะก้าวข้ามอาการเหล่านี้ได้อย่างไร ? มีทางเดียวคือปล่อยให้ขึ้นเต็มที่ อายไม่ได้ กลัวไม่ได้ ถ้าปล่อยให้ขึ้นเต็มที่เมื่อไรก็จะก้าวพ้นไป ถ้าขึ้นไม่เต็มที่ ทำสมาธิถึงตรงนี้เมื่อไรก็จะเป็นอีก
ถามว่าในเมื่อเรียกว่าปีติ แปลว่าความยินดีไม่ใช่หรือ แล้วทำไมถึงมีอาการแปลก ๆ ? อย่างเช่นว่าร้องไห้หรือว่าเต้นตึงตังโครมคราม อรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้ว่า เหมือนอย่างกับพ่อแม่ทิ้งลูกให้อยู่บ้านตามลำพัง ถึงเวลาตนเองก็ไปทำงานกลางทุ่งกลางท่าในป่าในเขา หรือไม่ก็เดินทางไปในบ้านในเมือง ในตลาดไกล ๆ บ้าง หายไปเป็นวันเป็นคืน กลับมาถึงลูกเห็นหน้าพ่อแม่ดีอกดีใจร้องไห้โฮเลย บางคนก็วิ่งตะโกนลั่น พ่อมาแล้ว..แม่มาแล้ว เป็นต้น
สภาพจิตของเราก็เป็นลูกที่ห่างพ่อห่างแม่ คือฟุ้งซ่านไป พอย้อนทวนกลับเข้ามาหาความสงบที่ตนเองคุ้นเคย ก็เลยเกิดอาการปีติต่าง ๆ อย่างที่ว่ามา จำไว้ว่ากลัวก็ไม่ได้ อายก็ไม่ได้ ถ้าอายแล้วไปยับยั้งก็จะหยุดได้ แต่ถ้าจิตเริ่มเป็นสมาธิแม้แต่นิดเดียวก็จะเป็นอีก ขนาดนอนเฉย ๆ แค่นึกถึงคำภาวนาก็ดิ้นตึง ๆ อยู่บนเตียงแล้ว นอกจากปล่อยให้ขึ้นเต็มที่แล้ว ไม่มีวิธีอื่นที่จะไปจัดการ
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-01-2019 เมื่อ 13:23
|