องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประทานวิธีการนี้ให้เรามา ๒,๕๐๐ กว่าปีแล้ว จึงขอให้ทุกท่านระมัดระวังเรื่องของอาหารการกิน โดยเฉพาะในส่วนของน้ำหวานต่าง ๆ ที่เรากินหลังเที่ยงไปแล้ว
สำหรับท่านที่รักษาศีลแปดหรือศีลอุโบสถ ตลอดจนท่านที่ไม่ได้รักษาแต่ว่ากินเพราะติดรสหวานนั้น ความหวานสามารถก่อโรคต่าง ๆ ให้เราได้มากต่อมากด้วยกัน โรคที่เห็นชัดที่สุดคือ โรคเบาหวาน ซึ่งทำให้เราเดือดร้อนลำบากด้วยประการต่าง ๆ ต้องรักษาเสียค่าหมอค่ายาไปปีละไม่รู้เท่าไรต่อเท่าไร และถ้าหากว่าอาการกำเริบขึ้นมา ก็อาจจะถึงขนาดต้องตัดมือตัดเท้า หรือไม่ก็ตาบอดไม่สามารถที่จะมองเห็นได้อีก
ดังนั้น การรู้จักประมาณในการกินของเราท่านทั้งหลายนั้น อาตมาเห็นสมควรที่สุดระมัดระวังในเรื่องกินอาหารหวานให้มากเข้าไว้ ถ้าหากเราระมัดระวัง นอกจากไม่เสียเงินเสียทองมากแล้ว ตัวเราเองยังไม่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคที่รักษาได้ยากด้วย ถ้าท่านทั้งหลายสามารถกระทำตามนี้ได้ ก็แปลว่าท่านปฏิบัติตามวิธีการข้อที่สี่ขององค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์บริบูรณ์
ข้อต่อไป พระองค์ท่านตรัสเอาไว้ว่า “ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง” แปลว่า ให้นอนให้นั่งในที่อันสงัด ก็คือ ให้หลีกหนีออกจากหมู่เข้าไปสู่ที่อันสงบสงัด ซึ่งสามารถทำให้จิตใจสงบระงับ ไม่ส่งส่ายวุ่นวายด้วยการคบหาสมาคมกับคนอื่น สามารถรักษาสภาพจิตของเราให้สงัดจากกิเลสได้โดยง่าย
ข้อต่อไปพระองค์ท่านตรัสว่า “อะธิจิตเต จะ อาโยโค” ก็คือการหมั่นประกอบการทำสมาธิ ให้สภาพจิตของเราสามารถทรงสมาธิได้คล่องตัวในส่วนของอัปปนาสมาธิ ที่มีกำลังในการกดกิเลสและตัดละกิเลสต่าง ๆ ได้ ให้มีความชำนาญในการเข้าสมาธิ มีความชำนาญในการออกสมาธิ มีความชำนาญในการเข้าสมาธิ สลับกันไปสลับกันมา ในระดับสูงและต่ำ มีความชำนาญในการที่จะกำหนดเวลาว่า เราจะเข้าสมาธิยาวนานแค่ไหน เป็นต้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-03-2018 เมื่อ 20:00
|