คำสอนสมเด็จองค์ปฐม
โรคใจอ่อนกับบารมี ๑๐ เป็นธรรมขั้นสูง (๑)
อย่าประมาทเกินไปสำหรับอารมณ์จิตที่คิดสร้างความดี
อย่าพึงคิดพอใจว่าทำอยู่นี้ดีพอแล้ว ก็จักประมาทไม่ทำความดีสืบต่อไปในเบื้องหน้า
ธรรมปฏิบัติที่ทำอยู่ จักต้องรู้อารมณ์จิตของตนเองอยู่เสมอ
ถ้าหากมีความคิดว่าดีพอแล้ว จิตก็จักเกิดความประมาทอย่างแท้จริง
อย่ามองหาความดี จงมองหาแต่ความเลว ไม่จำเป็นต้องหาความดี
เพราะถ้าหากมองจนจิตหาความเลวไม่ได้แล้ว จิตก็จักมีความดีขึ้นมาเอง
ดีในที่นี้หมายถึง จิตหมดกิเลส หลุดจากโมหะ โทสะ ราคะเข้าครอบงำจิต มิใช่ดีอย่างจิตชาวโลกียวิสัย
ซึ่งอิงอยู่ในกามคุณ ๕ ได้รูปสวย เสียง รสดี เป็นต้น อย่างนี้ดีในกามราคะก็ใช้ไม่ได้
เวลานี้หมั่นมองอารมณ์ของจิตอยู่เสมอ
ประหารความชั่วหรือบาปให้ได้มากที่สุดเท่าที่จักมีกำลังทำได้
ค่อย ๆ ทำไปด้วยความเพียร ด้วยจิตเข้มแข็งไม่ท้อถอยเสียอย่างเดียว
ประหารได้บ้าง ประหารไม่ได้บ้าง ก็ให้รู้ตามวาระที่สัประยุทธ์นั้น ๆ
กล่าวคือมีสติ รู้แพ้ รู้ชนะในอารมณ์ชั่วขณะจิตนั้น ๆ
วาระนี้ แพ้ไป วาระหน้า ที่เคลื่อนเข้ามาเป็นขณะจิตปัจจุบันก็สู้ใหม่ ดูความเคลื่อนไปของอารมณ์
ดูความแพ้หรือชนะของจิตที่มีต่ออารมณ์
หากเข้มแข็งด้วยอานาปานัสสติ จิตก็ย่อมมีกำลังเพียบพร้อมด้วยสติ สัมปชัญญะ
รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบอารมณ์ของจิตในขณะนั้น ๆ
การมีสมาธิ ปัญญาก็มั่นคง สามารถต่อสู้กับกิเลสได้โดยไม่ยากเย็น
สำคัญจักต้องกำหนดรู้ว่าอารมณ์ใด ๆ เกิด และเกิดขึ้นได้อย่างไร
ให้กำหนดรู้ในอารมณ์และต้นเหตุที่เกิดนั้น ๆ ก็จักระงับหรือตัดอารมณ์และต้นเหตุนั้น ๆ ลงได้
และพยายามไม่ไปแก้เหตุที่เกิดภายนอก
ให้แก้ที่เหตุอันเกิดอยู่ภายใน
คือ อารมณ์จิตของตนเองเป็นสำคัญ การปฏิบัติธรรมจึงจักได้ผล
จากหนังสือ ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๖
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน