ตั้งแต่ปฏิบัติอย่างจริงจังตอนอายุ ๑๖ ปี เริ่มทุ่มเทให้กับการปฏิบัติแบบหัวไม่วางหางไม่เว้น จนคนรอบข้างไม่ว่าจะเป็นพี่น้อง ครูบาอาจารย์ เพื่อนฝูง เขาว่าบ้ากันทั้งนั้น ขอบอกว่า ถ้าท่านเรียกตนเองว่าเป็นนักปฏิบัติ แล้วคนรอบข้างยังไม่ชมว่าบ้า ยังไม่ใช่นักปฏิบัติที่แท้จริงหรอก ต้องได้รับคำชมอย่างนั้นเยอะ ๆ ก่อน ชนิดที่ทุกคนลงความเห็นว่าบ้าแน่ ถ้าอย่างนั้นถึงจะพอมีหวัง
เมื่อเราตั้งใจปฏิบัติ ก็ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เรามั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ดี เป็นสิ่งที่ถูก อย่าไปสนใจปากหอยปากปู ที่ไม่สร้างสรรค์ความเจริญให้กับตนเองและผู้อื่น เพียงแต่ว่าให้ระมัดระวังนิดหนึ่งว่า อย่าให้ตัวเราต้องเป็นทุกข์โทษเวรภัยกับคนอื่นเขา ถ้าเรารักษาศีล ๘ เพื่อนชวน “เฮ้ย..กินข้าวเย็นด้วยกัน วันนี้ข้าเลี้ยง” ถ้าเราตอบว่า "ไม่ละ..ตอนนี้รักษาศีล ๘" เพื่อนคงได้มองหัวถึงตีน แล้วจากตีนกลับมาที่หัวอีกที บอกไปดีกว่าว่า “ตอนนี้อ้วนมากแล้ว ไม่กินข้าวเย็น ถ้าจะเลี้ยง ๆ ให้มื้ออื่นเถอะ” ฟังดูดีกว่ากันตั้งเยอะ
ดังนั้น..นักปฏิบัติต้องใช้ปัญญาด้วย การปฏิบัติทุกรูปแบบขึ้นต้นด้วยปัญญา แล้วถึงมาเป็นศีล เป็นสมาธิ ถามว่าทำไม ? ก็เพราะว่ามรรคแปด คือหนทางแปดสาย ซึ่งรวมกันเป็นเส้นทางให้เราก้าวล่วงพ้นจากความทุกข์ ขึ้นต้นด้วยสัมมาทิฐิ มีความเห็นที่ถูกต้อง การมีความเห็นที่ถูกต้องคือการมีปัญญา เพราะว่าบุคคลในโลกจำนวนมากต่อมากด้วยกัน ยังไม่เห็นเลยว่าการปฏิบัติธรรมดีตรงไหน
เอาแค่ในประเทศไทยเรา คุยนักคุยหนาว่า ๙๘ เปอร์เซ็นต์เป็นพุทธศาสนิกชน ลองไปถามดูสิว่า ๖๘ ล้านคนมีเข้าวัดเข้าวาเพื่อถือศีลปฏิบัติธรรมถึงแปดล้านไหม ? อาตมายืนยันว่าไม่ถึงหรอก แปดแสนก็ไม่ถึง นอกนั้นบางทีก็ใส่บาตรปีละครั้งตอนวันเกิด น่าชื่นชมจริง ๆ ๓๖๔ วันยังไม่ลืมว่าต้องทำบุญอยู่วันหนึ่ง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 08-11-2014 เมื่อ 15:14
|