ชื่อกระทู้: อารมณ์กำหนัด
ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 20-01-2010, 00:19
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,522
ได้ให้อนุโมทนา: 151,450
ได้รับอนุโมทนา 4,406,164 ครั้ง ใน 34,112 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : แล้วอารมณ์กำหนัดที่ปะทุได้ เป็นเพราะอะไรครับ ?
ตอบ : ใจยังปรุงอยู่

ถาม : ก็แสดงว่าอุปาทานต้องแล่นก่อน
ตอบ : เป็นเรื่องปกติ ถ้าใจเลิกปรุง ก็เฉาสนิท

ถาม : ถ้าอย่างนั้นจะระงับกำหนัด ก็ต้องไประงับอุปาทานให้ได้ก่อน ?
ตอบ : เกินขั้น ถ้าถึงขั้นระงับอุปาทานได้ ไปเกินขั้นเยอะ

ถาม : ตามปกติคนที่ทรงฌานสมาบัติ อุปาทานจะไม่ค่อยแล่น ใช่ไหมครับ ?
ตอบ : เป็นการปรุงอุปาทานไปอีกด้านหนึ่ง แต่ปรุงไปในทางดี

ถาม : ก็เหมือนลากไปอีกทาง ?
ตอบ : คืออุปาทานนั้น ปรุงไปในเรื่องของสมาธิ..สมาบัติแทน ถ้าเรารู้ไม่เท่าทัน ก็จะไปติดตรงนั้นแทน

ถาม : ก็กลายเป็นรูปฌานราคะไป
ตอบ : อย่าลืม...แม้แต่ฌานสมาบัติก็เป็นการปรุงแต่งของใจ เพียงแต่การปรุงแต่งนี้สร้างคุณให้แก่เรา เพื่อใช้ในการตัดกิเลส แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเรากลับใช้ผิด ก็คือ พอปรุงแต่งจนกระทั่งสมาธิทรงตัว เราคลายออกมาแล้ว ไม่ได้พิจารณาวิปัสสนาญาณ พอกำลังคลายออกมาแล้ว เราไปฟุ้งซ่านในรัก โลภ โกรธ หลง ก็เลยฟุ้งซ่านอย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นการเป็นงานกว่าเดิมอีก เพราะได้กำลังของสมาธิไป จนกระทั่งบางคนเขาบอกว่า อยากรู้ว่าตนเองมีกิเลสมากเท่าไรให้ไปฝึกสมาธิ

พวกทำ ๆ ทิ้ง ๆ มักจะเจออย่างนี้แหละ พอเริ่มฝึกสมาธิ กิเลสจะเริ่มโผล่มากวนเรา ก็เลยจะรู้ว่ากิเลสหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ถ้าหากว่าเราทำอย่างต่อเนื่อง กิเลสก็เกิดได้ยาก ความผ่องใสของจิตจะมีมากขึ้นเรื่อย ๆ จิตใจผ่องใสมากเท่าไร ตัวปัญญาก็เกิดมากขึ้นเท่านั้น ก็จะเห็นช่องทาง เห็นวิธีการที่จะจัดการกับกิเลสของตัวเอง ท้ายสุด คือรู้ทุกอย่าง แต่ไปไม่ยุ่งด้วย หมดเรื่องกันไปเลย

ไม่ได้ไปฆ่ากิเลสให้ตาย ไม่ได้ไปขายให้ขาดหรอก กิเลสเป็นสมบัติของร่างกาย ตราบใดที่มีร่างกาย ก็ยังมีรัก โลภ โกรธ หลงเป็นธรรมดา เพียงแต่ว่าเขาเลิกยุ่งกับกิเลสเท่านั้นเอง กิเลสบอกว่าสวย..เราก็ไม่สน บอกว่าไม่สวย..เราก็ไม่สน รับข้อมูลไว้เฉย ๆ ในเมื่อได้ข้อมูลมา เราไม่ save ถึงเวลาปิดเครื่องก็ทิ้งไปเปล่า ๆ my document ก็เลยโล่ง

ถาม : ไม่ต้องไป delete ?
ตอบ : ไม่ต้องเสียเวลาไป delete เพราะเราไม่ได้ save

ถาม : แล้วตอนเวลาที่เราบังคับจิตทำกรรมฐาน ?
ตอบ : นั่นเป็นการปรุงเหมือนกัน เราใช้สัญญาสร้างปัญญาให้เกิด ตอนแรกก็ต้องจำ แล้วเอามาทวนเรื่อย ๆ พอเกิดความแตกฉานแล้ว ใจยอมรับขึ้นมาก็จะเป็นปัญญา ถ้าตราบใดยังไม่เข้าใจ ยังไม่ยอมรับ ก็ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง จะเป็นได้แค่สุตมยปัญญาหรือจินตมยปัญญาเท่านั้น


พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
ถาม-ตอบ ช่วงเย็น ณ บ้านอนุสาวรีย์
วันเสาร์ที่ ๒ มกราคม ๒๕๕๓
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2014 เมื่อ 19:08
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 120 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา