๑. “ท่านว่าไม่ยาก แค่กำหนดรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่มากระทบ อย่างราคะเกิดก็รู้ โทสะเกิดก็รู้ โมหะเกิดก็รู้ รู้ตามจริตหก แล้วก็ยกเอากรรมฐานแก้จริตมาใช้ แรก ๆ ก็อาจจะอืดอาดอยู่บ้าง กว่าจะรู้นึกได้กิเลสมันก็จูงจิตไปไกลลิบแล้ว แต่ใหม่ ๆ มันก็ต้องเผลอเป็นธรรมดา จงอย่าท้อถอยค่อย ๆ เอากรรมฐานแก้ แก้ได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็เป็นธรรมดา เพราะเรายังมีอารมณ์เผลอ ถ้าหากเสียท่ากิเลสก็จงอย่าไปเจ็บใจ บอกกับจิตว่าไม่เป็นไร คราวหน้าเอาใหม่ ที่แล้วมามันเป็นอดีตไปแล้ว”
๒. “ให้เอาอดีตที่แพ้ต่อกิเลสเป็นครู แต่อย่านำมาย้อนคิดให้เจ็บใจ เกิดความเศร้าหมองขึ้นในจิต เราไม่ควรทำ แต่จำไว้ว่าจะพยายามไม่เผลออีกเหมือนในอดีต”
๓. “ธรรมอนาคตที่ยังมาไม่ถึง อย่านำมาพึงคิดปรุงแต่งให้เกิดอารมณ์ชอบใจและไม่ชอบใจ เพราะอารมณ์จิตจริง ๆ แล้วกระทบอยู่รู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบันก็พอ จึงจัดว่าเป็นของแท้ การอยู่ในธรรมปัจจุบัน เราเป็นผู้กำหนดรู้สิ่งกระทบต่าง ๆ จะเป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ ก็รู้อยู่แต่ในธรรมปัจจุบัน วางอารมณ์จิตให้เข้าถึงกฎไตรลักษณ์ ไม่ยอมให้อารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจเข้ามาครอบงำจิต จิตเราจะอยู่แต่ในธรรมอันเป็นสัมมาทิฏฐิเท่านั้น โดยอาศัยปัญญาเป็นตัวคิดพิจารณา”
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 01-02-2010 เมื่อ 17:32
|