ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 12-09-2009, 13:32
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,530
ได้ให้อนุโมทนา: 151,474
ได้รับอนุโมทนา 4,406,700 ครั้ง ใน 34,120 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันเสาร์ที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๒

ตั้งกายให้ตรง กำหนดสติอยู่เฉพาะหน้า ระบายลมหายใจเข้าออกยาว ๆ สักสามสี่ครั้ง เมื่อลมหยาบหมดไปแล้วให้กำหนดความรู้สึกของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา ถ้าไม่เคยภาวนา....จะไม่ใช้คำภาวนาใดเลยก็ได้ หรือถ้าเคยภาวนาแบบไหนมา ไม่ว่าจะเป็นพุทโธ สัมมาอะระหัง พองหนอยุบหนอ นะมะพะธะ ก็ให้ใช้คำภาวนาที่ตัวเองถนัด

ดูลมหายใจของเราโดยการกำหนดสติตามรู้เข้าไป....ตามรู้ออกมา หายใจเข้ารู้อยู่ว่าหายใจเข้า ลมหายใจผ่านจมูก ผ่านกึ่งกลางอก ลงไปสุดที่ท้อง ลมหายใจออกจากท้อง ผ่านกึ่งกลางอก มาสุดที่ปลายจมูก ให้ความรู้สึกทั้งหมดอยู่เท่านี้ ถ้ามันไปคิดเรื่องอื่นเมื่อไร ให้ดึงกลับมาอยู่ที่ลมหายใจใหม่ แรก ๆ ก็อาจจะรักษาความรู้สึกให้อยู่กับลมหายใจเข้าออกได้แค่ไม่กี่ครั้ง แต่พอซ้อมทำบ่อย ๆ นาน ๆ เข้า ก็จะสามารถรักษาความรู้สึกให้มั่นคงอยู่กับลมหายใจได้นานเท่าที่เราต้องการ

เมื่อความรู้สึกและลมหายใจเข้าออกมั่นคงดีแล้ว ก็ให้กำหนดจิตแผ่เมตตา ไปสู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ ทุกเหล่า ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีความสุข ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นพ้นจากความทุกข์ ขอให้เขาทั้งหลายเหล่านั้นอย่ามีเวรมีกรรมเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย การแผ่เมตตานั้นจะทำให้จิตของเราชุ่มชื่นเบิกบาน มีกำลังที่จะปฏิบัติความดีของเราต่อไปได้ เมื่อแผ่เมตตาจนเต็มที่ของเราแล้ว เราจะกลับมาภาวนาต่อ หรือมาพิจารณาก็ได้ตามอัธยาศัย

สำหรับวันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๕ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๕๒ เป็นวันครบรอบการมรณภาพของหลวงปู่พระภาวนาปัญญาวิสุทธิ์ หรือหลวงปู่มหาอำพัน แห่งวัดเทพศิรินทราวาส ปีที่ ๒๐ พอดี หลวงปู่จากพวกเราไป ๒๐ ปีแล้ว หลวงปู่เป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ สามารถชำระใจตนเองให้ผ่องใสจากกิเลส จนก้าวล่วงสู่พระนิพพานได้ เรามาคิดดู หลวงปู่ถ้าว่ากันตรง ๆ ก็คือพระอรหันต์ ก็มีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง และในที่สุดก็มรณภาพลงเช่นกัน เราเองซึ่งความดีไม่เท่าท่าน เราจะพ้นไปได้นั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ก็หมายความว่าเราเองก็ประกอบไปด้วยความไม่เที่ยง ประกอบไปด้วยความทุกข์ ท้ายสุดร่างกายของเราก็เสื่อมสลายตายพังไปด้วยเช่นกัน

แต่ว่าการเสื่อมสลายตายไปอย่างของหลวงปู่ จิตของท่านหลุดพ้นก้าวสู่แดนอมตะคือพระนิพพาน พ้นจากการเกิดแก่เจ็บตายทั้งปวง แต่พวกเราทั้งหลายความดียังไม่ถึงระดับนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราต้องขวนขวาย สร้างเสริมให้มี ให้เกิดขึ้นแก่เราให้ได้ โดยเฉพาะการปฏิบัตินั้น เมื่อเริ่มปฏิบัติภาวนา สิ่งที่ควรคำนึงก็คือต้องรักษาศีลทุกสิกขาบทให้บริสุทธิ์ไปด้วย ถ้าหากเรามีศีลทุกข้อบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นการละเมิดศีลของคนอื่น ถ้าเป็นดังนี้ก็แปลว่าเรามีคุณสมบัติข้อแรกของการที่จะก้าวล่วงไปสู่การหลุดพ้นได้

ถ้าศีลบริสุทธิ์ กำลังสมาธิของเราก็ทรงตัวได้เร็ว เพราะการจะรักษาศีลนั้นต้องอาศัยสติสัมปชัญญะเป็นอย่างมากในการระมัดระวัง ไม่ทำศีลให้ขาดด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำ ไม่ยินดีเมื่อคนอื่นทำ การมีสติสัมปชัญญะรู้ระมัดระวัง ถ้าทำจนชิน สมาธิจะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ ดังนั้น..ศีลเป็นพื้นฐานในการเสริมสร้างให้สมาธิมั่นคงทรงตัว เมื่อสมาธิมั่นคงทรงตัว ปัญญาก็จะเกิดได้ง่าย

ศีลจึงเป็นปัจจัยสร้างสมาธิโดยตรง และเป็นปัจจัยทางอ้อมในการสร้างปัญญาให้เกิด สมาธิเป็นปัจจัยในการสร้างปัญญาโดยตรง และเป็นปัจจัยทางอ้อมในการรักษาควบคุมศีลให้บริสุทธิ์ ปัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ไปควบคุมศีลให้บริสุทธิ์และพิทักษ์รักษาสมาธิของเราให้ทรงตัวยิ่ง ๆ ขึ้นไป
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 25-12-2009 เมื่อ 09:32
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา