ดูแบบคำตอบเดียว
  #234  
เก่า 14-05-2014, 15:13
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,554 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

วิธีพิจารณากรรมฐาน ๕

กายคตาสติ

ทางก้าวเดินออกทางด้านปัญญานี้ท่านว่า มีความกว้างขวางมากไม่เหมือนสมาธิ สมาธิจะให้มีความแน่นหนามั่นคงเท่าไรก็เต็มภูมิของสมาธิ เหมือนกับน้ำเต็มแก้ว น้ำเต็มโอ่ง มีมากเท่าไรจะเอามาเทเพิ่มเติมน้ำเต็มแก้วก็รับไม่ได้ จะให้เลยจากภูมิสมาธิที่เต็มตัวแล้วไปไม่ได้ นี่เป็นขั้นของสมาธิ

สำหรับทางเดินด้านปัญญานั้น เทศนาอบรมพระของท่านตอนหนึ่งกล่าวถึงวิธีการพิจารณาไว้ ดังนี้

“...ตามทางของศาสดาที่ประทานให้แล้ว ซึ่งเรารับมาตั้งแต่วันบวช ท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ... เกสาคือผม ผมเป็นยังไง ผมคนเรา ทั้งหญิงทั้งชาย ตลอดถึงผมหมู ผมหมา ผมเป็ด ผมไก่ ผมวัว ผมควาย เรียกว่าขนไปเฉย ๆ มันก็ผม เวลาเป็นผมเป็นไปได้หมดทั้งนั้น ดูไปหมด ผมเขาผมเรา ผมบุคคลหญิงชาย ผมสัตว์อะไรดูให้ทั่วถึง ผมเหล่านี้เป็นยังไง มันสะอาดสะอ้านอะไรบ้างพิจารณาซิ ชะล้างทุกวัน ๆ ผมอันนี้แหละตัวสกปรกใหญ่โต จึงต้องชะล้างทุกวัน ไม่ชะล้างไม่ได้ นี่เอามาพิจารณา ถ้าเป็นของดิบของดีจะชะล้างกันหาอะไร อยู่ที่ไหนก็ดิบก็ดีสะอาดสะอ้านตลอดเวลา ควรที่จะแน่ใจตายใจได้กับผม แต่นี้ตายใจไม่ได้


ขนก็เหมือนกัน แบบเดียวกัน เอามาเทียบกันได้ทุกสัดทุกส่วน นี่วิธีการพิจารณาทางด้านปัญญา ขอให้เริ่มก้าวเดินออกอันนี้ เอาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กรรมฐาน ๕ เป็นพื้นฐานแห่งการก้าวเดินของปัญญาเรา ผม ขน เล็บเป็น 'ยังไง' ให้ดู แล้วเล็บคนกับเล็บหมาก็ไม่เห็นมีอะไรผิดกัน มันสะอาดสะอ้าน มันสวยงามที่ตรงไหน จึงต้องไปติดไปพันกับมัน ดีไม่ดีย้อมเล็บย้อมเลิบ ตัดเล็บย้อมเล็บให้สวยงาม มันจะสวยอะไรประสาเล็บ ถ้าไม่เป็นบ้าแล้วจะไปตกแต่งมันอะไรนักหนา ชะล้างให้มันพออยู่ได้ ไปได้ทั้งเขาทั้งเราเท่านั้นก็พอ จำเป็นอะไรจะต้องมาตกแต่ง มาชะมาล้าง หรือมาประดับประดาประสาเล็บ นั่นปัญญา ให้พิจารณาอย่างนั้น

ฟัน เอาฟันมาพิจารณาซิ ฟันเป็น 'ยังไง' นี่ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ท่านแสดงไว้ในกรรมฐาน ๕ ฟันนี้เป็น 'ยังไง' ฟันเขา ฟันเรา ฟันหญิง ฟันชาย ฟันสัตว์ ฟันบุคคล มันก็คือกระดูกอันเดียวกัน อยู่ในร่างกายอันนี้เรียกว่าฟัน ความจริงแล้วก็คือกระดูกนั้นแล มันวิเศษวิโสอะไรฟันอันนี้ กระดูกอันนี้ กระดูกเรากับกระดูกสัตว์ต่างกันอย่างไรบ้าง กระดูกหญิง กระดูกชาย กระดูกสัตว์ กระดูกเรา กระดูกเขา เอามาดูซิ กระดูกเป็นของสวยของงามที่ไหน ฟังแต่ว่ากระดูก ๆ เท่านั้นเอง

นี้เรามาบอกว่าเป็นฟันเฉย ๆ ความจริงก็คือกระดูกส่วนหนึ่ง ที่มาใช้งานในการบดเคี้ยวอาหารเท่านั้น อย่างอื่นเขาบดเคี้ยวไม่ได้ จึงให้ชื่อว่ากระดูกข้อมือ กระดูกข้อเท้าว่าไปตามธรรมดา แต่กระดูกนี้เรียกว่ากระดูกฟัน เอามาบดเคี้ยวอาหาร มันก็คือกระดูกนั้นเอง นี่ให้พิจารณา ทีนี้กระดูกมันสกปรกหรือมันสะอาด ดูซิ.. ตื่นขึ้นมาแล้วล้างปากล้างฟัน ล้างเสียจนกระทั่งเลยเถิดเลยแดน มีอะไรเอามาเป็นความสะอาดล้างปากล้างฟัน ยาถูฟัน น้ำยาน้ำอะไรมาชะมาล้าง ให้มันสดสวยงดงามไปแบบกิเลสไปเสีย มันก็กลายเป็นกิเลสไปได้ ทั้ง ๆ ที่กระดูก ทั้ง ๆ ที่ฟันมีอยู่ด้วยกันหมด มันไม่ได้ติดใคร แต่คนที่ว่าตัวนักรู้คือใจนี้แหละ.. ไปหลงเขา

พิจารณาจากฟันแล้วก็หนัง นี่วางพื้นฐานย่อ ๆ ... หนังคนเราทั้งหญิงทั้งชาย หนังสัตว์ หนังบุคคล คนเราที่ติดกันนี้ติดเพราะหนังมาตกแต่ง ผิวมันเพียงบาง ๆ เท่านั้น ไม่ได้หนาเท่าใบลานเลย คนทั้งคนนี้มีเครื่องหลอกตาให้หลงได้ถนัดชัดเจนก็คือ ผิวหนังนี่เท่านั้น จึงประดับประดาตกแต่งทุกอย่างที่จะทำให้หลงหนักเข้าไป ทีนี้เราพิจารณาทางด้านปัญญาเรื่องหนัง พิจารณาหนังภายนอกเป็นผิวบาง ๆ หลอกคน พลิกเข้าไปภายใน ดูหนังภายใน

จากนั้นก็ดูเนื้อ ดูเอ็น ดูกระดูก ตับ ไต ไส้ พุง ในร่างกายของเรานี้มันคืออะไร นี่คือปัญญา จะพิจารณาเพื่อถอดถอนความยึดมั่นถือมั่น สำคัญผิดว่าเป็นของสวยของงามให้ลงสู่ความจริง ความจริงก็คือว่า หนังก็สักแต่ว่าเครื่องหุ้มห่อหอปราสาทราชมณเฑียรอะไร หุ้มห่อซากผีดิบไว้ให้พอดูได้ด้วยกัน ที่เป็นสัตว์ เป็นมนุษย์ อยู่ร่วมกันเท่านั้น จึงมีหนังหุ้มห่อเอาไว้แล้วชะล้าง ถึงชะล้างขนาดนั้น หนังก็ไม่พ้นที่จะแสดงออกมา.. ขี้เหงื่อ ขี้ไคล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของสกปรกโสมมเต็มผิวหนังของเรานี้ ต้องชะต้องล้าง ไม่ชะไม่ล้างไม่ได้ สกปรกเลอะเทอะ อยู่ไม่ได้

อะไรที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับหนังและร่างกายของเรานี้ จะสะอาดสะอ้านขนาดไหนก็ต้องชะต้องล้าง ต้องเช็ดต้องถู อย่างที่หลับที่นอนก็สวยงาม สะอาดสะอ้าน ราคาแพง ๆ ทั้งนั้น บ้านเรือนแต่ละหลัง ๆ สร้างขึ้นมากี่ห้องกี่หับก็ว่าเป็นของสวยของงาม ของสะอาดสะอ้านพอคนเข้าไปอยู่ที่ใด นำสิ่งเหล่านี้เข้ามาคละเคล้ากับคน เสื้อผ้าเครื่องนุ่งเครื่องห่มมาคละเคล้ากับคน ก็กลายเป็นของสกปรกไปตาม ๆ กันหมด แม้สิ่งเหล่านั้นจะสะอาดก็เพราะว่าร่างกายนี้ หาความสะอาดไม่ได้ ต้องชะต้องล้างอยู่เสมอ ไปอยู่ในบ้านในเรือนก็ต้องชะต้องล้าง ทำความสะอาดในบ้านในเรือน

มันขึ้นกับอะไร มันถึงได้ชะได้ล้างตลอดเวลา ก็ขึ้นอยู่กับร่างกายตัวสกปรกนี้เอง มันไปอยู่ที่ไหนก็เลอะเทอะไปหมด คือร่างกายตัวสกปรกนี้เอง นี่การพิจารณาทางด้านปัญญาให้แยกแยะอย่างนี้

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 14-05-2014 เมื่อ 16:19
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา