ขอขมาหลวงปู่มั่น ระลึกพระคุณไม่สร่างซา
องค์ท่านระลึกถึงความผิดของตนเมื่อครั้งกำลังปฏิบัติ ว่าเคยสงสัยในอาการบางลักษณะของหลวงปู่มั่นอยู่บ้างแม้เพียงเล็กน้อยก็ตาม แต่เมื่อขณะนี้ผลแห่งการปฏิบัติได้ประจักษ์กับใจตัวเองแล้ว จึงเกิดความเข้าใจในทันที ดังนี้
“...เวลาดึก ๆ ท่านมีลักษณะเหมือนครวญเหมือนคราง อี๊ ๆ ๆ นิด ๆ ไม่ได้มากนะ ก็เราอยู่นั่นน่ะ มีลักษณะอี๊ ๆ แอ๊ะ ๆ เหมือนร้องเหมือนครางเบา ๆ น่ะ แล้วมันก็แย็บขึ้นมา แย็บเรา..ระวังนะ
‘เอ๊ ! เวลาท่านเป็นอย่างนี้ ท่านจะมีเผลอบ้างไหมนา ?’
เท่านั้นละ พอเราว่าเหมือนอันหนึ่งมันตีปั๊บเลย.. ไม่ให้กำเริบยิ่งกว่านี้ไป พูดง่าย ๆ ก็ระวังอยู่นี่ เพียงแย็บออกไปเท่านั้นละ เวลาท่านมีอาการอย่างนี้ ท่านมีเผลอบ้างไหมนา ? เท่านั้นละ เราก็หยุดทันทีเลย แล้วก็จำไว้ด้วยไม่ลืมนะ หากเป็นธรรมชาติของมันเอง
จนกระทั่งเรื่องผ่านไป ท่านปรินิพพานไปแล้ว เรื่องของเราจึงมาเป็นทีหลัง เราก็กราบขอขมาโทษท่านเลย
อันนี้เราแน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า เราหลุดไปเลยไม่มีอะไรเหลือ...
ที่เราไปคิดเกี่ยวกับเรื่องท่านว่า เอ๊.. ท่านมีลักษณะ อี๊อ ๆ อย่างนี้ท่านจะเผลอบ้างไหมนา..นี้หมด เราแน่ใจ เพราะเราระมัดระวังมาก พอแย็บเท่านั้นเราก็รีบ เหมือนกับรีบตบกันลงทันทีเลย แล้วก็ไม่ลืมขณะจิตที่คิดถึงท่านอย่างนี้ เวลาเรื่องของเราผ่านไปทีหลัง (หมายถึงสิ้นกิเลส) ถึงกลับมายอมเลยทันที
‘โอ้โห ทำไมคิดผิดเอามากมาย คาดพ่อแม่ครูอาจารย์ โห ! คนมีกิเลสไปคาดคนสิ้นกิเลส มันคาดกันได้อย่างนี้เชียวเหรอ’
มันยอม จึงเข้าไปกราบขอขมาโทษอัฐิของท่าน อันนี้ปรากฏว่าโล่งไปเลยทันที ไม่มีปรากฏว่ามีอะไรตกค้าง...”