ถ้าใครสามารถใช้ประโยชน์จากการเจ็บไข้ได้ป่วยได้ อันดับแรกจะเห็นต้นทุนของตัวเองว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ของเรามีเท่าไร ถ้าศีล สมาธิ ปัญญาของเราไม่พอ ก็จะไปโอดโอยอยู่ตรงนั้นนั่นแหละ “เจ็บแท้หนอ ปวดแท้หนอ” แต่ถ้าพอเมื่อไรจะพิจารณาว่า “เออ..สภาพร่างกายของเรา ที่มีความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นปกติธรรมดาเช่นนี้ เราไม่ต้องการอีกแล้วอย่างแน่นอนที่สุด ตายเมื่อไรขอไปพระนิพพานแห่งเดียว”
ลองไปนึกถึงพระนางสุปปวาสาโกลิยวงศ์ธิดา เป็นแม่ของพระสีวลี นางสุปปวาสาตั้งครรภ์ ๗ ปี แล้วปวดท้องอีก ๗ วัน ไม่มี ๗ เดือนนะ ถามพระมหาเบิร์ธได้ แปลธรรมบทมา ตั้งครรภ์ ๗ ปีแล้วปวดท้องจะคลอดลูกอีก ๗ วัน ปวดแทบขาดใจ แต่ไม่ได้ดิ้นรน ไม่ได้ร้อง พิจารณาธรรมอย่างเดียวว่า “โอหนอ..องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุด สอนให้เราเห็นความทุกข์ปานฉะนี้หนอ โอหนอ..ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปฏิบัติเพื่อให้ล่วงความทุกข์เห็นปานฉะนี้หนอ โอหนอ..พระสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า ชี้ทางให้เราล่วงพ้นจากความทุกข์เห็นปานฉะนี้หนอ”
ใจเกาะพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์แทน ปวดท้องแทบขาดใจอยู่ ๗ วัน ไม่ได้ดิ้นรน ไม่ได้ร้องคร่ำครวญ คนเห็นว่าปวดแต่ทำไมไม่ร้อง เพราะว่าใจท่านเกาะพระรัตนตรัยแทน ถ้าเราสามารถภาวนาให้กำลังทรงตัวได้ ไม่ต้องมาก เอาแค่ปฐมฌานเท่านั้น อาการป่วยก็แทบจะไม่รับรู้แล้ว เพราะจิตกับประสาทเริ่มแยกจากกัน
ดังนั้น..ใครกลัวเจ็บ กลัวป่วย ต้องเร่งการภาวนาให้มากไว้ ถ้าอารมณ์ใจทรงตัวเมื่อไร การเจ็บปวดนี่ไม่มีประโยชน์ที่จะมาเป็นเลย อาตมาเองโดนหมอจัดการจนเดี้ยง โยมเขาต่อว่าว่าทำไมรุนแรงขนาดนั้น เขาบอกว่า “ก็หลวงพ่อไม่ร้อง..!” เข้าท่านะ..ไม่ร้องหมอเลยใส่ไม่ยั้ง..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 20-10-2013 เมื่อ 20:40
|