มีอย่างเดียว ก็คือ ฝึกประคับประคองอารมณ์ ใหม่ ๆ ไม่ต้องเกรงใจใคร เงียบไว้ก่อน ถ้าจำเป็นจริง ๆ ก็ปฏิสัมพันธ์กับเขาด้วยความระมัดระวังสุดขีด อย่าให้กำลังใจตก จบเรื่องเมื่อไรรีบดึงกลับเข้าหาการภาวนาของเราต่อ ถ้าสามารถทำอย่างนั้นได้ ก็จะรักษากำลังใจของตัวเองให้นานขึ้นได้ จากลุกขึ้นก็หลุดหายแล้ว ก็อาจจะได้มากขึ้น เป็น ๕ นาที ๑๐ นาที ครึ่งชั่วโมง ๑ ชั่วโมง เพิ่มเป็น ๓ ชั่วโมง ครึ่งวัน ๑ วัน ๓ วัน ๗ วัน ครึ่งเดือน ๑ เดือน ไล่ไปเรื่อย
ถ้าเราสามารถทรงอารมณ์ต่อเนื่องกันได้นาน ๆ ๑ เดือน ๒ เดือน ๓ เดือน บางทีเป็นปีติดต่อกัน จะมีความสุขอย่าบอกใคร รัก โลภ โกรธ หลง กินเราไม่ได้ มีความสุขเบากายเบาใจไปหมด ช่วงนั้นจะใช้สติใช้ปัญญาพิจารณาอะไร ก็เกิดความคล่องตัว รู้เห็นชัดเจนไปหมด เรื่องพวกนี้สำคัญอยู่ตรงที่ว่าอย่าเผลอ อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงนั้น ท่านถึงขนาดจะทรงฌานเมื่อไรในขั้นไหน ก็สามารถกำหนดใจได้ทันที ท่านยังพลาดมาแล้ว เราที่เป็นลูกเป็นหลานอย่าให้พลาดอย่างนั้น
ขอยืนยันว่าถ้าพลาดแล้วโกยคืนยากมาก เพราะว่ากิเลสรู้ว่าตัวเองจะตาย ก็พยายามต่อสู้สุดชีวิต เราจะสังเกตว่าในช่วงระยะเวลาที่เกิดอาการจิตตก สมาธิตก กรรมฐานตก มักจะเป็นเวลาที่เราทำได้ดีที่สุด ประเภทแทบจะเห็นหน้าเห็นหลังกัน จะได้ได้มรรคได้ผลกันเดี๋ยวนั้นเลย แต่อยู่ ๆ ก็พังครืนลงไปเฉย ๆ เหมือนอย่างกับเราเดินไปจะถึงประตูอยู่แล้ว อีก ๒-๓ ก้าวจะถึงประตู เปิดประตูไปเมื่อไรก็พ้นจากโลกนี้ไปทันที ไม่ต้องมาทุกข์ยากลำบากอีก แล้วอยู่ ๆ ก็โดนหลอกให้มาผิดทาง เลี้ยวห่างประตูไปเรื่อย กว่าจะย้อนกลับมาอีกทีก็ต้องรอจนครบรอบ ซึ่งบางคนก็หลายปี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-10-2014 เมื่อ 11:43
|