พระอาจารย์กล่าวว่า "ความชั่วนั้น ทำง่าย เลิกยาก ตราบใดความชั่วยังไม่ให้ผล คนชั่วก็คิดว่าเป็นสิ่งที่หอมหวาน ให้ผลเมื่อไร เดือดร้อนขึ้นมาก็แก้ไขอะไรไม่ทันแล้ว ส่วนความดีทำยาก คนไม่มีกำลังใจจะทำก็เลิกง่าย แต่ความดีให้ผลด้านดีเพียงส่วนเดียว ถึงเวลาให้ผลก็ส่งผลแก่ผู้คนในด้านของความสุข ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิต
ฉะนั้น..พยายามฝืน ๆ ใจทำไปเถอะ ไม่ต้องถึงขนาดกำลังใจพระโพธิสัตว์หรอก กำลังใจพระโพธิสัตว์จะเป็นอย่างไรก็ทำ แต่กำลังใจของเรา เอาแค่ว่าเราทำความดีเพราะเราอยากทำก็พอ ถ้าทำความดีเพราะอยากดี ถึงเวลาพอเขาไม่เห็นความดี เราก็จะหมดกำลังใจ
ถ้าไม่มีใครก็เอาในหลวงเป็นตัวอย่าง พระองค์ท่านทรงงานมา ๖๐ กว่าปี มากกว่าอายุของพวกเราแทบทั้งหมด จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้มีความท้อในงานเลย นึกอีกทีไปถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า ตลอดสังสารวัฏที่พระองค์ท่านบำเพ็ญบารมีมา ยาวนานจนไม่เห็นต้นเห็นปลาย ขึ้นชื่อคำว่าท้อแม้แต่นิดเดียวไม่เคยเกิดขึ้นในใจเลย มาถึงตรงนี้คนอ่านพุทธประวัติอาจจะเถียงว่า ตอนที่ตรัสรู้พระองค์ท่านทรงท้อใจว่า ธรรมะที่ท่านรู้นั้นลึกซึ้งเหลือเกิน คนทั่วไปไม่สามารถจะรู้ได้ ก็เลยไม่คิดที่จะเทศนา
ขอให้ทราบว่า คำนี้จริง ๆ ไม่ใช่คำว่าท้อใจ คนแปลเขาแปลง่าย ๆ เพื่อให้คนทั่วไปเข้าใจว่าสภาพเป็นอย่างไร ตัวนี้ต้องแปลว่า มีความขวนขวายน้อย แปลว่าไม่คิดที่จะแสดงธรรม เพราะธรรมนี้ลึกซึ้งเหลือเกิน
จนกระทั่งท้าวสหัมบดีพรหมทราบ จึงรีบลงมาอาราธนาพระพุทธเจ้าว่า "สัตว์ที่ธุลีในดวงตาน้อยนั้นมีอยู่ ขอพระองค์โปรดแสดงธรรมเถิด" จนเขามาแต่งคำอาราธนาธรรมเป็น "พรัหมา จะ โลกาธิปะตี สะหัมปะติฯ" ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นอธิบดีพรหมของพรหมทั้งหลาย หรือจะใช้คำว่า ผู้เป็นใหญ่ในโลกแห่งพรหม ก็ได้"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-11-2010 เมื่อ 02:11
|