หลวงพ่อบอกว่า "เรื่องแรงอธิษฐานนี่ร้ายแรงมาก เพราะฉะนั้นทำอะไรอย่าให้คนอื่นรู้ว่าเราอธิษฐานอะไร ไม่เช่นนั้นเดี๋ยวเจอกรณีแบบเดียวกับขุนช้างที่อธิษฐานทับนางพิมพิลาไลย หรือกรณีแบบเดียวกับพระเจ้ากุสราช
พระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เป็นชาวบ้านอยู่กับพี่ชายและพี่สะใภ้ พี่สะใภ้นั้นมีหน้าที่ทำอาหาร เวลาทำอาหารก็ทำไว้ ๓ ส่วน ของน้องชาย ๑ ของสามี ๑ ของตนเอง ๑
วันหนึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้าบิณฑบาตผ่านมา พี่สะใภ้เห็นก็ดีใจเลยเอาอาหารส่วนของตนเองถวาย แต่ก็ยังไม่พอใจ ตัวเองอยากถวายให้มากกว่านี้ คิดว่าเรากับสามีก็เหมือนคน ๆ เดียวกัน เดี๋ยวเราทำให้ใหม่ก็ได้ จึงเอาอาหารส่วนของสามีถวายอีก แต่ก็ยังไม่พอ เอาอาหารส่วนของน้องสามีถวายไปด้วย
ปรากฏว่าน้องสามีกลับจากป่า ถามหาอาหารส่วนของตน พี่สะใภ้บอกว่าถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าไปแล้ว น้องสามีก็เลยด่าพี่สะใภ้ พี่สะใภ้จึงทำอาหารให้ใหม่ และทำส่วนของตนเองด้วย แล้วก็นำไปใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พร้อมกับอธิษฐานว่าเกิดชาติหน้าชาติไหนขออย่าให้ได้เจอน้องผัวแบบนี้ ทำบุญนอกจากจะไม่ยินดีแล้ว ยังด่าอีก
น้องสามีหรือพระเจ้ากุสราชในชาตินั้น เมื่อได้ยินเข้าก็เกิดโทสะ ตัดสินใจว่าไม่กินอาหารส่วนของตนแล้ว ถวายพระดีกว่า จึงเอาอาหารไปถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานว่า ไม่ว่าเกิดชาติใดต้องได้ผู้หญิงคนนี้เป็นเมีย ก็เลยกลายเป็นว่าแม้จะอยู่บนปราสาทเจ็ดชั้น ไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน แค่เห็นหน้าเท่านั้น ก็หนีตามกัน
ดังนั้น เรื่องของอธิษฐานบารมีมันอันตรายตรงที่ว่า ถ้าคนที่อธิษฐานทีหลังบารมีเขาสูงพอนี่...เราเสร็จเลย อย่างของพระเจ้ากุสราชตอนหลังท่านก็มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ท่านบารมีพระโพธิสัตว์"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 22-07-2009 เมื่อ 22:55
|