ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 19-06-2019, 20:41
นักเดินทางสังสารวัฏ นักเดินทางสังสารวัฏ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Mar 2016
ข้อความ: 77
ได้ให้อนุโมทนา: 139
ได้รับอนุโมทนา 2,965 ครั้ง ใน 205 โพสต์
นักเดินทางสังสารวัฏ is on a distinguished road
Default ฝากถามหลวงพ่อด้วยครับ

๑. สมัยที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ ท่านได้เสวยวิมุตติสุข ๗ สัปดาห์และใน google อธิบายว่าวิมุตติสุข คือความสุขที่เกิดจากการหลุดพ้น ผมอยากทราบว่า วิมุตติสุขจริง ๆ คือนิโรธสมาบัติหรือเปล่าครับ และการที่ได้มโนมยิทธิและถอดจิตไปพระนิพพาน จัดว่าเป็นวิมุตติสุขหรือเปล่าครับ

๑.๑ ผมอ่านมาว่าพระโพธิสัตว์บางท่านได้ถวายมหาทานด้วยการเผาตัวเอง หรือตัดหัวตนเองเพื่อเป็นพุทธบูชา อานิสงส์นี้ทำให้พอตรัสรู้แล้วจะเป็นพระพุทธเจ้าอายุยืนเป็นหมื่น ๆ ปี แต่พระพุทธเจ้าของเราสมัยที่เป็นพระโพธิสัตว์ ท่านได้สละชีวิตตนเองให้เสือกิน เพราะกลัวว่าเสือจะกินลูกเสือ คำถามคืออานิสงส์ที่ถวายที่ชีวิตตนเองให้กับพระพุทธเจ้ากับเสือ ไม่เหมือนกันใช่ไหมครับถึงแม้ว่าตนเองจะเสียชีวิต

๒. การที่เราทำผิดกฎหมายในบางประเทศแต่ไม่ได้ผิดศีล ถือว่าเป็นความชั่วเป็นบาปไหมครับ เช่นการปลูกกัญชาในไทย ถือว่าผิด แต่บางประเทศไม่ผิด

๒.๑ การที่บ้านเมืองเราได้นักการเมืองมาโดยที่ไม่ยุติธรรม หรือเรียกง่าย ๆ ว่าด้วยวิธีการโกง อยากทราบว่าเป็นเพราะบาปกรรมของประเทศไทยในอดีต ที่ไปตีเมืองอื่น ๆ ทำให้ประเทศอื่นเสียหาย หรือเป็นแค่เพราะเขาพวกนี้มีอำนาจมากกว่าพวกเราครับ

๓. จุดประสงค์ของการบวชคือการที่จะเข้าถึงพระนิพพาน แต่ผมอยากทราบว่าถ้าบวชมาเพื่ออยากให้คนกราบไหว้ และเรียนเพื่อที่จะได้เปรียญสูง ๆ เพื่อจะได้รับความสรรเสริญ แต่ก็ไม่ได้ผิดศีล แต่ผิดด้านอริยมรรคอยากทราบว่าจะลงนรกสถานเดียวไหมครับ

๓.๑ ในเรื่องของพุทธภูมิและอริยมรรค ที่พระพุทธเจ้าท่านนำสัมมาทิฏฐิขึ้นก่อนเป็นอันดับแรก ผมอยากทราบว่าการที่เรามีความเห็นว่าถ้าเราเป็นพระพุทธเจ้า เราก็จะมีพระญาณต่าง ๆ ที่สามารถนำพาดวงจิตไปแดนพระนิพพานได้ เพื่อเจอความสุขที่แท้จริง เราก็เลยอยากเป็นพระพุทธเจ้า และอีกกรณีหนึ่งถ้าอยากเป็นพระพุทธเจ้าเพราะคิดว่าเท่ดี พรหม เทวดา บูชาสรรเสริญเรา อยากทราบว่าความตั้งใจทั้ง ๒ นี้สามารถทำให้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้าได้เหมือนกันเปล่าครับ

๓.๒ เหตุใดพระบางรูปที่ได้ฌานสมาบัติ อภิญญา หรือได้เป็นพระอริยเจ้า ท่านก็เข้าป่าไม่สนใจที่จะช่วยสั่งสอนพุทธบริษัท แต่บางท่านบรรลุแล้วก็ทำทุกอย่างที่จะช่วยเหลือพุทธบริษัท อย่างหลวงพ่อวัดท่าซุงที่เขียนหนังสือ อัดเทปสอนธรรมทั้ง ๆ ที่ตนเองป่วยมาก เป็นเพราะว่าท่านรู้ว่าญาติโยมจำนวนมากหวังจะขอหวยอย่างเดียวหรือเปล่าครับ ท่านเลยเข้าป่าเลยไม่อยากสร้างบาปกรรม

๔. ผมปรารถนาพุทธภูมิ และดูจากจากบารมีตนเองตอนนี้คิดว่าต้องเกิดอีกหลายอสงไขย แต่อยากถามเรื่องด้านวิปัสสนา ในด้านการเข้าถึงสังขารุเปกขาญาณอย่างแท้จริง คือการหยุดปรุงแต่งทั้งดีทั้งชั่วทุกอย่าง ผมขอยกตัวอย่างว่าถ้าเราไม่เก็บอายตนภายนอกหรือการกระทบจาก รูป รส กลิ่น เสียง เข้ามาคิดได้แบบอัตโนมัติ กิเลสจะเกิดไม่ได้ใช่ไหมครับ ยกตัวอย่างจากชีวิตจริงเช่น ผมเดิน ๆ อยู่แล้วเห็นรูป ถ้าผมหยุดที่ตาเห็นรูป ไม่ได้ไปคิดว่าคนที่เดินมาเป็นใคร ราคะจะไม่เกิดใช่ไหมครับ แต่ในทางตรงข้าม ถ้าตาเห็นรูป แล้วคิดว่าคนที่เดินมาเป็นผู้หญิง มีผิวขาว หน้าตาดี เราอยากจะได้เธอมาเป็นแฟน ตอนนี้ก็ราคะจะเกิด หรืออีกตัวอย่าง มีคนมาด่าผม ถ้าผมคิดด่าในใจ ตอนนั้นโทสะก็เกิด แต่ถ้าผมทำเหมือนสักแต่ว่าได้ยิน ไม่ได้เก็บมาคิด โทสะก็เกิดไม่ได้ คำถามคือตามที่ยกตัวอย่างมาอาการแบบนี้เป็นสังขารุเปกขาญาณ หรือเป็นอย่างอื่นแทนครับ และพระโพธิสัตว์ท่านสามารถทรงสังขารุเปกขาญาณได้ แต่ไม่สามารถทำได้ตลอดเวลา ๒๔ ชั่วโมงแบบพระอรหันต์ใช่หรือไม่ครับ ยกเว้นว่าพระโพธิสัตว์ท่านทรงฌานสมาบัติด้วย

๔.๑ ถ้าคนที่ไม่ได้เป็นพระอรหันต์แต่อยากจะทรงสังขารุเปกขาญาณต้องใช้ฌานสมาบัติ หรือสมาธิมาช่วยหรือเปล่าครับ เพราะเท่าที่ผมสังเกตเวลาสติ สมาธิไม่ดี หรือนอนน้อย หรือเจ็บป่วยมาก ๆ บางทีไม่รู้ตัวและเผลอคิดไปไกล ยกตัวอย่าง เวลาผมนอนน้อย มักจะหงุดหงิดง่าย ใครทำอะไรก็รู้สึกจะโกรธ บางทีเจออะไรที่น่ารำคาญ เช่นเสียงดัง ๆ ก็รู้สึกโกรธได้ง่ายมาก

๔.๒ คนที่เข้าถึงสังขารุเปกขาญาณแบบจริง ๆ พอทำถึงแล้ว เวลาเจออายตนภายนอก จิตจะรับทราบและไม่เก็บพวกนี้มาคิดให้เกิดกิเลสเป็นแบบนี้อัตโนมัติตลอดเวลาใช่ไหมครับ เพราะเท่าที่ผมฝึกมา ผมจะพิจารณาให้เห็นโทษของอายตนภายนอก พอรู้ว่านี่เป็นโทษ เป็นไฟ จิตจะไม่ยุ่ง และก็จะอยู่กับปัจจุบันอย่างเดียว และพอเวลาเจอเหตุการณ์จริง เช่นกำลังเล่น Facebook แล้วดันไปอ่านข่าวเกี่ยวกับนักการเมืองที่โกงบ้านโกงเมือง ถ้าผมสักแต่ว่าอ่าน ผมก็ไม่ไปคิดด่าอะไร แต่ในทางตรงกันข้าม
ถ้าพอผมไปคิดว่าคนนี้โกงการเลือกตั้ง บริหารไม่ดี ทำให้ประเทศเดือดร้อน ตอนนี้โทสะก็เกิดและก็ด่าเละ สรุปง่าย ๆ คนที่เข้าถึงสังขารุเปกขาญาณจริง ๆ สติ สมาธิ
ปัญญา เขาสูงมาก เห็นสิ่งใดที่เป็นโทษ ก็ไม่เก็บเอามาคิดโดยทันที โดยที่ไม่ต้องตั้งท่าพิจารณาในลักษณะที่ว่า พอเราเห็นรูปแล้วและบอกกับตัวเองว่าจงอย่าปรุงแต่งคิด แต่จิตจะรู้แจ้งทันทีแล้วก็ไม่เก็บมาคิด และเป็นแบบนี้ตลอดเวลาใช่ไหมครับ ถ้าไม่ใช่หลวงพ่อช่วยอธิบายทีครับ

๕. ในด้านสิทธิของมนุษย์ ทุกคนมีสิทธิที่จะรวมกลุ่มประท้วงในเรื่องต่าง ๆ เช่นในต่างประเทศส่วนใหญ่จะประท้วงเรื่องโลกร้อนหรือเพศที่ ๓ และในปัจจุบันที่ประเทศไทยเท่าที่ผมติดตามข่าวมา ไม่แน่อาจจะมีการประท้วงในด้านการเมือง ตัวผมอยากทราบว่า ถ้าการที่คนเราไปเข้าร่วมการประท้วงเพื่อจะช่วยเหลือประเทศชาติ จะเป็นบุญหรือไม่ครับ

๕.๑ จากข้อก่อนหน้านี้พระสงฆ์ในศาสนาพุทธสามารถรวมกลุ่มประท้วง เพื่อประเทศชาติหรือศาสนาได้หรือไม่ครับ และจะเป็นการขัดพระวินัยหรือเปล่าครับ

๖. ที่หลวงพ่อบอกกล่าวเตือนผมว่า "ยังไม่เบื่อที่จะถามใช่ไหม ? จำไว้ว่ายิ่งถามยิ่งฟุ้งซ่าน มีแต่โทษมากกว่าประโยชน์ ถ้ายังไม่เห็นโทษก็ถามมาได้เรื่อย ๆ แต่ถ้าเห็นโทษเมื่อไรก็บอกด้วย" ผมพิจารณาดูแล้วถ้าว่ากันตรง ๆ การที่ผมถามมากสามารถทำให้ผมฟุ้งซ่านได้ พอผมฟุ้งซ่านจิตใจจะไม่สงบ ผมที่จิตใจไม่สงบฌานสมาบัติที่เสื่อมก็เกิดไม่ได้ พอฌานสมาบัติเกิดไม่ได้ ญาณที่เป็นเครื่องรู้ ที่มีอำนาจในการหาเหตุหาผลอย่างไม่น่าเชื่อ ก็ไม่สามารถเกิดได้ พอญาณเกิดไม่ได้ ผมก็ไม่สามารถเอาความสามารถด้านนี้มาใช้ประโยชน์เพื่อช่วยตนเองได้และช่วยคนอื่นไม่ได้อีกด้วย สรุปแล้วกำลังใจผมยังอ่อนแออยู่มาก ๆ อยากถามความเห็นของหลวงพ่อ ว่าผมเข้าใจถูกหรือเปล่าครับ

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย นักเดินทางสังสารวัฏ : 25-06-2019 เมื่อ 10:27
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 12 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ นักเดินทางสังสารวัฏ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา