หลวงปู่ท่านขยันทำวัตรเช้าทำวัตรเย็นทุกวัน ดึกดื่นเที่ยงคืนขนาดไหน ต้องทำวัตรก่อนถึงจะเข้านอน ก็แปลว่าจุดธูปทุกวัน ๆ ละ ๒ รอบ หายใจเอาควันธูปเข้าไป เกิดโทษพอ ๆ กับหายใจเอาควันบุหรี่เข้าไป ป่วยเป็นโรคถุงลมปอดโป่งพอง หายใจแล้วออกซิเจนไม่ค่อยจะเพียงพอ หมอจึงต้องให้เอาเครื่องให้ออกซิเจนมาประจำไว้ที่กุฏิ
ช่วงที่กระผม/อาตมภาพดูแลอยู่ ก็จะให้ออกซิเจนท่านครั้งละ ๒ นาที ไม่เกิน ๓ นาที พอเห็นท่านพอหายใจได้สะดวกแล้วก็จะถอดออก ดูแลท่านอยู่เป็นปี ๆ ไม่มีปัญหา พอถึงเวลาทางวัดท่าซุงมีงาน กระผม/อาตมภาพต้องขออนุญาตหลวงปู่กลับไปทำงานที่วัดท่าซุงก่อน ปรากฏว่าพระอื่นท่านดูแลไม่กี่วัน หลวงปู่ท่านก็ถึงแก่มรณภาพ..!
เหตุก็เพราะว่าพระอื่นท่านไม่เข้าใจตรงนี้ ถึงเวลาท่านให้ออกซิเจนยาวไปเลย เมื่อร่างกายรับออกซิเจนจนเคยชิน พอหลวงปู่ลงจากเตียงเข้าห้องน้ำ จึงหายใจไม่ทัน พระที่ดูแลท่านก็มัวแต่ทำความสะอาดเตียง เปลี่ยนผ้าปูที่นอนใหม่ เปลี่ยนปลอกหมอนใหม่ ไม่ได้ยินเสียงหลวงปู่ท่านเรียก เพราะว่าเสียงท่านเบา หันมาอีกทีหลวงปู่ท่านหน้าเขียวไปแล้ว..! ก็แปลว่าปอดทำงานเองไม่ได้ หลังจากที่ได้รับออกซิเจนบริสุทธิ์มานาน
อีกส่วนหนึ่งก็คือ หลวงพ่อรองเจ้าคณะอำเภอฯ วัดเขื่อนวชิราลงกรณ ท่านบอกว่า หลวงพ่อรูปหนึ่งท่านเปิดออกซิเจนไว้ทั้งห้องเลย อยู่ในลักษณะแบบเดียวกับรถไฟความเร็วสูงสายทิเบต - ชิงไห่ของจีน ที่จะเปิดออกซิเจนไว้ในห้องโดยสาร เพื่อให้ผู้โดยสารหายใจได้ เนื่องจากว่าสถานีทังกูล่าสูงตั้ง ๕,๐๐๐ กว่าเมตร ออกซิเจนเบาบางมาก เรื่องนี้ต้องไปถามน้องมด ไกด์ชาวจีนที่ไปช่วยดูแล น้องมดบ่นว่า "นอกจากหนูจะดูแลพวกหลวงพ่อไม่ได้แล้ว พวกหลวงพ่อยังต้องมาดูแลหนูอีก" เพราะว่าขนาดมีออกซิเจนแบบนั้น น้องมดยังน็อกสนิท หายใจเองไม่ได้..!
พอได้ยินดังนั้น กระผม/อาตมภาพก็บอกกับหลวงพ่อวัดเขื่อนฯ ว่า ถ้าอย่างนั้นต้องระวังเจ็บตา เพราะว่าออกซิเจนทำให้ตาแห้ง ท่านบอกว่าเจ็บแล้ว หมอบอกว่าเป็นเพราะขนตาย้อนไปแทงตา กระผม/อาตมภาพบอกว่าไม่ใช่ เกิดจากออกซิเจนทำให้ตาแห้ง ถึงเวลากระพริบตาแล้วตาฝืด จนกลายเป็นคนตาเจ็บตาแฉะไปเลย..!
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 12-04-2023 เมื่อ 01:59
|