ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 27-06-2013, 09:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,619
ได้ให้อนุโมทนา: 151,818
ได้รับอนุโมทนา 4,413,441 ครั้ง ใน 34,209 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์ช่วงทำกรรมฐานวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๖

ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตนเอง อย่าลืมตั้งกายให้ตรง กำหนดสติของเราให้อยู่เฉพาะหน้า เอาความรู้สึกทั้งหมดของเราไหลตามลมหายใจเข้าไป ไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอย่างไรก็ได้ตามที่เราถนัดมาแต่เดิม

วันนี้เป็นวันเสาร์ที่ ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๖ เป็นการปฏิบัติธรรมต้นเดือนวันที่สองของพวกเรา ในการปฏิบัติธรรมของพวกเรานั้น ส่วนที่สำคัญที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ชัดเจนเลยก็คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เราจึงต้องทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราว่าบริสุทธิ์บริบูรณ์หรือไม่ ? ให้ดูว่าวันนี้มีศีลข้อใดของเราบกพร่องบ้าง ถ้าพบเห็นความบกพร่องก็แล้วให้ตั้งใจว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะมีศีลทุกสิกขาบทบริสุทธิ์บริบูรณ์

หลังจากนั้นก็ดูลมหายใจเข้าออกของเราพร้อมกับคำภาวนา การภาวนานั้น..เราอย่าไปบังคับลมหายใจของตน ให้ปล่อยเป็นไปตามธรรมชาติ แค่เอาความรู้สึกแนบชิดติดกับลมหายใจเข้าไป แนบชิดติดกับลมหายใจออกมาเท่านั้น ยกเว้นบางท่านที่มีความเคยชินกับสมาธิแล้ว เมื่อเริ่มนึกถึงลมหายใจ สภาพจิตก็จะก้าวข้ามไปสู่ระดับสมาธิที่ตนเองเคยชิน จะทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าบังคับลมหายใจของตน

เมื่อดูลมหายใจของเรา จนกระทั่งสภาพจิตทรงตัวเต็มที่สูงสุดเท่าที่เราทำได้ สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะดำเนินต่อไปได้ จะค่อย ๆ คลายออกมาสู่อารมณ์ปกติโดยอัตโนมัติ ตรงจุดนี้เราต้องใช้ปัญญาในการพิจารณา พิจารณาให้เห็นร่างกายของเราว่ามีความไม่เที่ยงอย่างไร เป็นทุกข์อย่างไร ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเราอย่างไร เพื่อให้จิตของเราเกิดการเบื่อหน่าย คลายกำหนัด ถอนออกจากความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายนี้

สำหรับพวกเราทั้งหลายในยุคนี้ ต้องบอกว่าการที่จะถอนความยึดมั่นถือมั่นในร่างกายยากกว่าคนยุคก่อนมากเหลือเกิน เมื่อประมาณครึ่งเดือนที่ผ่านมา อาตมภาพฝันกลางวันว่าได้พบเพื่อนเก่า เห็นตนเองกำลังเดินทางอยู่ เพื่อนเก่ามานั่งอยู่ข้าง ๆ แสดงท่าทีเห็นอกเห็นใจ บอกว่า "สงสารท่านเหลือเกิน ในสิ่งที่ท่านพยายามจะสั่งสอนคนในปัจจุบันนี้ ไม่ง่ายเหมือนสมัยที่ท่านปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อของท่านหรอกนะ ในสมัยนั้นหลวงพ่อของท่านบอกว่า ถ้าเราอยู่ตัวคนเดียวมีแค่ขันธ์ ๕ ถ้าแต่งงานมีสามีหรือภรรยาก็มีขันธ์ ๑๐ ถ้าหากมีลูกคนที่ ๑ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๑๕ มีคนที่ ๒ ก็เพิ่มเป็นขันธ์ ๒๐ แต่ในสมัยนี้ต่อให้พวกเขาอยู่ตัวคนเดียว ผมก็เพิ่มให้ไปไม่รู้กี่ขันธ์ต่อกี่ขันธ์แล้ว"

ก็เลยถามเพื่อนเก่าไปว่า "มีอะไรบ้างที่คุณเพิ่มมา ? พอบอกได้ไหม ?" เขาบอกว่า "บอกได้ บอกไปเขาก็ไม่สามารถที่จะตัดจะละได้" ก็ถามว่ามีอะไรบ้าง ? เขาบอกว่า มี website , มี e-mail , มี facebook , มี skype , มี instragram พวกนี้เป็นต้น username หนึ่งก็คือตัวตนหนึ่งของเรา ก็แปลว่าถ้าเรามีสิ่งทั้งหลายนี้ใช้งานอยู่อย่างหนึ่ง เราก็เพิ่มขันธ์มาอีก ๕ สองอย่างเราก็เพิ่มขันธ์มาเป็น ๑๐ เพราะเราไปยึดว่านั่นเป็นเราเป็นของเรา..!

ถ้าผู้อื่นมาโพสต์ข้อความที่ไม่ถูกต้องไม่ถูกใจ เราก็โกรธเขา ถ้าโพสต์ข้อความที่เห็นด้วยเราก็พลอยดีใจ ก็แปลว่ามีสภาพความยินดียินร้ายเช่นเดียวกับตัวตนของตนเอง การขึ้น status ครั้งหนึ่งก็ดี การโพสต์ข้อความครั้งหนึ่งก็ดี การกด like ครั้งหนี่งก็ดี สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่แสดงออกถึงตัวตนของเราทั้งสิ้น
ดังนั้น..เพื่อนเก่าถึงได้บอกว่า "ผมไม่ได้ห่วงไม่ได้กังวลเลยว่าท่านจะเอาคนหลุดพ้นไปได้ เพราะกว่าท่านจะงุ่มง่ามตามมาทัน ผมก็ครอบซ้ำไปอีกหลายชั้นแล้ว..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 27-06-2013 เมื่อ 18:55
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 92 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา