สังโยชน์ ๑๐ (กิเลสอันผูกมัดใจสัตว์ไว้กับทุกข์)
๑. สักกายทิฏฐิ (ความเห็นที่เป็นเหตุให้ถือตัว) ได้แก่ เห็นว่าอัตภาพร่างกายนี้เป็นตัวตน เป็นตัวกู
๒. วิจิกิจฉา (ความลังเลสงสัย ไม่แน่ใจ) ได้แก่ ไม่แน่ใจว่าจะเชื่อศาสนาใดดี จะเชื่อคำสอนของใครดี ลังเลอยู่ ไม่รู้ว่าจะนับถือศาสนาใด มัวแต่สงสัยอยู่ จึงหาที่พึ่งทางใจไม่ได้
๓. สีลัพพตปรามาส (การรักษาศีลไม่จริงจัง) ได้แก่ คือการรักษาศีลไม่จริงไม่จัง รักษาแบบลูบ ๆ คลำ ๆ บางคนก็รักษาศีลแบบทำเป็นเล่น อย่างเช่นว่า รักษาศีล ๘ เฉพาะเวลาที่ไม่ได้กินข้าวเย็น เป็นต้น
๔. กามราคะ (ติดในรสของกาม) ได้แก่ การยึดติดสิ่งของที่เห็นว่าสวยงาม เสียงไพเราะ เป็นต้น
๕. ปฏิฆะ (ความกระทบกระทั่งทางจิต) ได้แก่ ความหงุดหงิด ความขัดเคืองภายในใจ
สังโยชน์ ๕ ข้อนี้เป็นกิเลสเบื้องต่ำ มีชื่อเรียกว่า โอรัมภาคิยสังโยชน์ ใน ๕ ข้อนี้ ข้อ ๑, ๒ และ ๓ พระโสดาบันตัดได้ ข้อที่ ๔ และ ๕ พระสกทาคามี ทำให้เบาบางลงได้ แต่พระอนาคามีสามารถตัดได้
๖. รูปราคะ (ความติดใจในรูปธรรม) ได้แก่ ความติดในรูปธรรมอันประณีตที่มีได้ด้วยอารมณ์แห่งรูปฌาน
๗. อรูปราคะ (ความติดใจในอารมณ์อรูปธรรม) ได้แก่ ความติดใจในอรูปฌาน หรือติดใจในอรูปภพ
๘. มานะ (ความถือตัว) ได้แก่ มานะทั้ง ๙ อย่าง
๙. อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน) ได้แก่ ความคิดไปเรื่อย ๆ หาสาระมิได้ เป็นการสร้างวิมานในอากาศ
๑๐. อวิชชา (ความไม่รู้) ได้แก่ ความไม่รู้ในอริยสัจ ๔ ถือเป็นอันสำคัญที่สุดในสังโยชน์ ๑๐
สังโยชน์ข้อที่ ๖, ๗, ๘, ๙ และ ๑๐ จัดเป็นกิเลสเบื้องสูง มีชื่อเรียกว่า อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ส่วนหลังนี้พระอรหันต์สามารถตัดได้โดยสิ้นเชิง
__________________
มารใช้ คนทุกคน ของทุกชิ้น สัตว์ทุกตัว เป็นเครื่องมือในการขวางเรา โดยเฉพาะคนที่เรารักมากที่สุด
(-/\-) (-/\-) (-/\-)
|