หยอกล้อประสาพี่น้อง
ย้อนมากล่าวถึงความผูกพันประสาพี่น้องในครอบครัว เริ่มต้นด้วยเรื่องที่น้อง ๆ เล่าถึงอุปนิสัยและความจริงจังของท่านในวัยหนุ่มว่า
“... ท่านเป็นคนดุ เพราะนิสัยเป็นคนจริงจัง ทำให้น้อง ๆ เกรงกลัวอยู่ไม่น้อยทีเดียว บางทีถ้าหากท่านไม่อยู่หรือออกนอกบ้าน จะรู้สึกโล่งอกโล่งใจ แต่ถ้ากลับมาเมื่อใด ต้องได้แอบบอกกันว่า
‘นั่น ๆ บัวมาแล้ว ๆ’...”
โดยมากน้อง ๆ จะเกรงท่านมากเป็นพิเศษ ก็คือช่วงที่กำลังทำงาน เพราะท่านจะทำจริงทำจังมาก น้อง ๆ จะมัวมาหยอกมาเล่นกันไม่ได้ ท่านจะดุทันที
แม้ท่านจะจริงจังขนาดนั้น แต่อย่างไรก็ตาม จะเป็นเฉพาะช่วงเวลางานเท่านั้น ถ้าเป็นช่วงปกติกันเอง พี่ ๆ น้อง ๆ ท่านกลับชอบหยอกล้อน้อง ๆ เล่น ดังเหตุการณ์ในวันหนึ่ง
ตอนนั้นท่านมีอายุประมาณ ๑๘ - ๑๙ ปี ขณะที่น้อง ๆ กำลังวิ่งเล่นกันอยู่นั้น ท่านก็คิดหาอุบายหยอกน้อง โดยเก็บมะละกอมา ขณะเดินผ่านน้อง ๆ ก็พูดขึ้นว่า
“จะยากอะไร ตำบักหุ่ง”
จากนั้นก็ขึ้นไปบนบ้าน แล้วก็ทำท่าตำส้มตำ เสียงโขลกครกดัง โป๊ก ๆ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง สักประเดี๋ยวก็เรียกน้อง ๆ ขึ้นไปกินส้มตำ
“กูตำแล้ว จะกินก็มาเด้อ กูตำแล้ว รีบ ๆ มา กูตำบักหุ่งเสร็จแล้ว มาเอาลงไปกิน”
ว่าดังนี้แล้วก็ทำท่าไปยืนอยู่ไกล ๆ ครัวไฟและไม่ยอมหันหน้ามาทางน้อง ๆ อีกด้วย จากนั้นก็ทำท่าเหมือนเอาใบตองมาห่อส้มตำที่เพิ่งโขลกเสร็จแล้วก็วางไว้
น้องส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพิ่งเล่นกันมาเหนื่อย ๆ จึงต่างมุ่งมาที่ห่อส้มตำด้วยความดีใจว่าจะได้กินกัน พอคว้าได้ก็หัวเราะเริงร่า วิ่งลงมาข้างล่าง เพื่อจะได้เปิดออกมากินพร้อม ๆ กัน
พอเปิดห่อใบตองออกเท่านั้น ก็ได้ยินเสียงแหลม ๆ ร้องประสานกันขึ้นทันทีว่า “ว้าย..เขียดตะปาด..!”
น้อง ๆ ผงะจาก “เขียดตะปาดตาโปน ๆ ” ในห่อด้วยกลัวว่า มันจะโดดออกมาเกาะ และต่างพากันวิ่งหนีไปคนละทิศคนละทาง วงส้มตำจึงสลายไปโดยฉับพลัน ท่ามกลางเสียงหัวเราะงอหายตามมาอีกยกใหญ่ ๆ