ถ้าปัญญาของเรามองไม่เห็นว่า สภาพตัวเราก็ดี บุคคลอื่นก็ดี สัตว์ต่าง ๆ ตลอดจนวัตถุสิ่งของก็ดี เป็นเพียงส่วนประกอบจากธาตุ ๔ ก็คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม แล้วก็สมมติว่าเป็นนั่นเป็นนี่ เราไปยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเราเป็นของเรา ก็แปลว่า กำลังใจเราใช้ไม่ได้
ถ้าเราสามารถรักษาศีลเป็นปกติ ไม่ยุให้ผู้อื่นละเมิดศีลก็ดี ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีลก็ดี สามารถทรงสมาธิในระดับใดระดับหนึ่งที่ต้องการก็ดี ตลอดจนมีปัญญารู้เห็นความเป็นจริงร่างกายของเรา ร่างกายของคนอื่นก็ดี ก็แปลว่า กำลังใจของเราตอนนี้เราอยู่ในเกณฑ์ที่เรียกว่าใช้ได้อยู่
ถ้าบุคคลที่กำลังใจยังใช้ไม่ได้ ให้เร่งรัดตัวเองให้มากขึ้น อาศัยปีใหม่นี้เป็นจุดเริ่มต้นของเรา วันแรกของปี เป็นวันที่เราจะตั้งหน้าตั้งตา ทุ่มเทสร้างความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ๓๖๖ วัน ของปี ๒๕๕๓ นี้ เราจะทำความดีให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ถ้าหากว่าเราตั้งกำลังใจของเราเอาไว้ดีแล้ว ก็พยายามทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไปกว่าเดิม เพื่อที่จะก้าวไปสู่จุดหลุดพ้นในสิ่งทั้งหลายที่เราต้องการ
การประเมินตัวเองในรอบปี รู้สึกว่าจะน้อยเกินไป ถ้าจะปีละสองครั้ง ก็คงยังน้อยเกินไป ปีละ ๔ ครั้ง คือ ๓ เดือนครั้ง ก็ยังน้อยเกินไป จริง ๆ แล้วในการปฏิบัติควรจะประเมินตัวเองทุกวัน อย่างแย่ ๆ ก็ทุกอาทิตย์ อย่าถึงขนาดทุกเดือน ถ้าเดือนหนึ่งประเมินตัวเองครั้งหนึ่ง โอกาสพลาดจะมีสูง ถ้าเราพลาดตอนต้นเดือน ปลาย ๆ เดือนแล้วค่อยประเมิน ก็แปลว่าเราเสียเวลาไปเดือนหนึ่งเต็ม ๆ
เมื่อท่านทั้งหลายประเมินตัวเองแล้ว ถ้าหากว่าความดียังไม่มี ความดียังไม่พอ ก็เร่งสร้างให้มี เร่งสร้างให้พอขึ้น ด้วยการรักษาศีลพร้อมกับการเจริญสมาธิไป เมื่อปัญญาเกิดขึ้น พร้อมกับการรู้แจ้งเห็นจริงสภาพเป็นจริงของร่างกายนี้ ก็ให้หมั่นทบทวนอยู่เสมอ ๆ เพื่อจิตใจจะได้ปล่อยวางได้จริง ๆ ไม่ย้อนกลับไปยึดเกาะมันอีก
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-01-2010 เมื่อ 14:48
|