เมื่อมองในแง่มุมนี้ เรากลับจะได้มีกำลังใจว่า แท้จริงแล้วกิเลสต่างหากที่ส่งเสริมให้เราอยากจะพ้นทุกข์ เนื่องจากว่าตกเป็นทาสของกิเลสมาเนิ่นนานจนน่าเบื่อหน่ายเหลือเกิน เกิดกี่ชาติก็ตกเป็นทาสของกิเลสเช่นนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้เราควรที่จะเบื่อหน่ายและหลีกหนีมันไปได้หรือยัง ?
ถ้าหากว่ามองในแง่อย่างนี้ เราก็จะได้เห็นว่าจริง ๆ แล้วกิเลสนั้นมีคุณค่า แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจก็ตาม เปรียบเหมือนกับอุจจาระปัสสาวะ เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ แต่ถ้าเรานำมาทำเป็นปุ๋ย ก็สามารถที่จะเพาะต้นไม้ให้งอกงามได้ หรือว่านำมาหมักเป็นแก๊สชีวภาพ ก็สามารถที่จะนำมาใช้งานในครัวเรือนอย่างมีประสิทธิภาพได้
เรื่องของกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่จูงจมูกเรามาชาติแล้วชาติเล่า ก็จะทำให้เรารู้จักเข็ด รู้จักเบื่อ สมควรที่จะดิ้นรนหลีกหนีได้แล้ว เมื่อเราคิดในแง่มุมนี้ เราจะเกิดกำลังใจที่จะต่อสู้ฟันฝ่ากับกิเลสต่อไป แต่ว่าการต่อสู้นั้นเราก็ต้องรู้ว่าเราสู้กับใคร สู้ด้วยวิธีใด เรียกว่า รู้เขารู้เรา จึงสามารถที่จะรบชนะข้าศึกได้
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย เถรี : 14-02-2017 เมื่อ 09:50
|