"เมื่อเรารู้ว่าคู่ต่อสู้ของเราหน้าตาเป็นอย่างไร วีติกกมกิเลส ที่ล่วงละเมิดออกมาทางกายและวาจา เราก็ใช้ศีลเป็นเครื่องตีกรอบบังคับไว้ ใจเราอยากฆ่าสัตว์ ก็ต้องตัดใจอย่างเด็ดขาด อย่างไรก็ไม่ฆ่า ยอมตายดีกว่าศีลขาด อยากลักขโมยจนใจจะขาด นั่งเหงื่อตกอยากได้ของเขาก็ไม่ขโมย มีโอกาสล่วงละเมิดลูกเขาเมียใคร ก็ฝืนใจ อดใจเอาไว้ มีโอกาสที่จะโกหกหลอกลวงใคร ก็ห้ามใจตัวเองไว้ อยากจะดื่มสุราเมรัยก็หักห้ามใจตัวเองเอาไว้
ถ้าทำอย่างนี้ได้ ก็แปลว่า กิเลสชั้นแรกที่เป็นของหยาบ เราพอที่จะสู้ได้แล้ว แต่กิเลสนั้นยังไม่ตาย เราแค่ล้อมคอกกันเอาไว้ได้เท่านั้น เท่ากับว่าอันดับแรก เราล้อมคอกกันตัวกิเลสหยาบไว้ได้แล้ว
ไปต่อก็ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสที่กรุ่นอยู่ในใจของเรา ทำอย่างไรที่จะเอาให้อยู่ ? คำตอบง่ายมากเลย ก็คือใช้กำลังของสมาธิเข้าข่มเอาไว้ อย่างที่คุณนายท่านนั้นเขาทำ พอทำไปทำมา เหยียบกิเลสแบนอยู่ใต้ตีน แต่ก็ยังไม่ตาย เพียงแค่นิ่งสงบไปชั่วคราวเท่านั้น เผลอหลุดเมื่อไรมาใหม่แน่ ตรงนี้ต้องใช้กำลังของสมาธิช่วยเป็นอย่างมาก
พอท้ายสุดคือ อนุสัยกิเลส ต้องใช้ปัญญาในการพิจารณาให้เห็นว่า กิเลสเหล่านี้นั้นเป็นทุกข์เป็นโทษอย่างไร จะได้เบื่อหน่าย สลัดทิ้งไปเสียที
กามราคานุสัย อนุสัยเกี่ยวกับกามราคะ พาเราสร้างโลก สร้างกิเลส สร้างตัณหาทุกประการให้แก่เรา เป็นอย่างนี้มาชาติแล้วชาติเล่าจนนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะพอ ควรที่จะเข็ดหรือยัง ? ควรที่จะละ จะเลิกหรือยัง ?
ปฏิฆานุสัย อารมณ์กระทบต่าง ๆ ที่เข้ามา ตาเห็นรูป ชอบใจก็เป็นราคะ ไม่ชอบใจก็เป็นโทสะ กิเลสหลอกกินเราทั้งขึ้นทั้งล่อง หูได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายสัมผัส โดนเหมือนกันหมด กระทบเมื่อไรถ้าสติตามไม่ทันกิเลสเกิดทันที พาเราเวียนว่ายตายเกิดนับชาติไม่ถ้วน ควรที่จะเข็ดกันที พอกันทีหรือยัง ?
อวิชชานุสัย ความโง่ที่สิงใจของเราอยู่ ยังเห็นว่าการเกิดนี้ดี ยังเห็นว่าโลกนี้ดี ยังเห็นว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งดี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบอะไรแล้วยังมีความรู้สึกชอบ ยังมีความรู้สึกพอใจ ถ้าเป็นแบบนี้เราเสร็จเขาแน่ ๆ"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-12-2020 เมื่อ 01:53
|