บางท่านเป็นถึงขนาดอาจารย์ใหญ่สอนกรรมฐานด้วย แต่เป็นเพราะว่าไม่สามารถจะทนต่อโลกธรรมที่เข้ามาได้ เมื่อได้ลาภ ได้ยศ ได้รับคำสรรเสริญ มีความสุข ก็ฟุ้งซ่านไหลตามกิเลสไป จุดมุ่งหมายเดิม ๆ ที่ตั้งใจว่าเข้าวัดมาเพื่อทำอะไรก็ลืมไปหมด
เราจึงจำเป็นที่จะต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอ มองตัวเองอยู่เสมอว่า เราบวชเข้ามาทำอะไร เจอความลำบากนิดหน่อยก็ถอดใจไม่สู้แล้ว แล้วจะเสียเวลาบวชเข้ามาทำไม ?
ดูว่าเราตั้งเป้าหมายไว้ตรงไหน ? ขณะนี้ใกล้ไกลจากเป้าหมายเท่าไร ? ดูว่าปัจจุบันนี้เรายืนอยู่ตรงจุดไหน ? เส้นทางที่เราจะมุ่งไป ยังตรงต่อจุดหมายอยู่หรือเปล่า ?
ถ้าเราไม่เตือนตัวเอง ไม่ดูที่ตัวเอง มัวแต่จะรอให้คนอื่นบอก ก็จะไม่ได้อะไร เพราะว่าตราบใดที่เรายังพึ่งคนอื่นอยู่ ตราบนั้นเราเอาตัวรอดไม่ได้
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อัตตาหิ อัตตะโน นาโถ* ตนนั่นแหละเป็นที่พึ่งแห่งตน โกหิ นาโถ ปะโรสิยา ใครอื่นจะเป็นที่พึ่งของเราได้ อัตตาหิ สุทันเตนะ ตนที่ได้รับการฝึกไว้ดีแล้วนั่นแหละ นาถัง ละภะติ ทุลละภัง จะเป็นที่พึ่งที่หาได้โดยยาก เพราะไม่ต้องอาศัยใคร สามารถที่จะยืนหยัดได้ด้วยตัวเอง
พระองค์ตรัสว่า อัตตะนา โจทะยัตตานัง** ให้กล่าวโทษโจทก์ตัวเองอยู่เสมอ ๆ หาความบกพร่องของตัวเองให้ได้ แล้วพยายามทำให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป เรื่องพวกนี้บางท่านก็คิดว่า ผมก้าวมาอยู่จุดนี้แล้วนี่ ผมก็พูดได้
แต่ในช่วงที่ผมปฏิบัติอย่างเอาเป็นเอาตายมีใครเห็นบ้าง ? แม้กระทั่งท่านแสง*** นอนอยู่ห้องเดียวกับผมแท้ ๆ ผมทำแบบเอาเป็นเอาตาย ท่านก็ว่าผมบ้า แล้ววันหนึ่งหลังจากบวชแล้ว ท่านก็บอกว่า “รู้อย่างนี้ผมทำอย่างหลวงพี่ซะตั้งแต่แรก ตอนนี้ผมก็สบายแล้ว..”
หมายเหตุ :
*พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๓ หน้าที่ ๒๐๘
**ขุ. ธ. ๒๕/๖๖
***พระครูสังฆรักษ์แสงชัย กนฺตสีโล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดท่าขนุน ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 31-01-2012 เมื่อ 03:24
|