"ไปถึงทุ่งหญ้าแดงก็ประมาณ ๑๑ โมงแล้ว นอกจากแวะถ่ายรูป แวะเข้าส้วมแล้ว พยายามไปเดินดูพวกข้าวของ โดยเฉพาะหาตุ๊กตาจามรี ที่นั่นมีเหมือนกัน แต่เป็นตัวเล็ก แล้วก็ฝีมือก็ไม่ละเอียด จึงไม่ได้ซื้อไม่ได้หา ได้แต่ดูเฉย ๆ
จากตรงจุดนั้น รถวิ่งต่อไปอีก ๒๐ นาทีก็ถึงเมืองหลักเมืองหนึ่งของเขา คือ เมืองเต้าเฉิง คุณตั้วพาไปเข้าภัตตาคาร บอกว่าวันนี้เลี้ยงหม้อไฟ เป็นภัตตาคารหม้อไฟโดยเฉพาะ ทุกโต๊ะจะมีเตาอยู่ตรงกลาง แล้วจุดด้วยระบบดิจิตอล กดปุ่มอย่างเดียว เข้าไปถึงเขาก็พาไปดูเครื่องปรุง นี่คือน้ำตาล นี่คือพริก นี่คือพริกไทย นี่คือผงชูรสล้วน ๆ เขาก็ว่าของเขาไป
ส่วนสารพัดผักของเขามีให้เป็นเข่งใหญ่ ๆ จะกินอะไรคุณตักกันไปเอง พวกเราก็ล้อมเป็น ๒ โต๊ะเหมือนเดิม ส่วนใหญ่ก็เลข ๖ กับเลข ๙ เขาเรียกโต๊ะสายแข็งกับโต๊ะสายอ่อน ปราฏว่าหม้อไฟที่เขายกมาให้เป็นกระดูกหมู พวกเราก็รู้สึกว่า ๖ คน กับกระดูกหมู ๕ - ๖ ชิ้นนี่ไปกันไม่ค่อยได้ จึงต้องมีการลงทุน "หม่าม้า" ไปสั่งเนื้อจามรีมาต่างหากอีก ๑ จานใหญ่ ๆ
พวกเราก็จัดแจงต้มเต้าหู้ มะเขือเทศ กับผักอีกสารพัด จนกระทั่งตักกินไปชามสองชามแล้ว อาตมาหันไปถามคนข้าง ๆ ว่า "ตกลงว่าเขาไล่ต้อนจามรีได้หรือยัง ?" ท้ายสุดคนสั่งต้องเดินไปถามพ่อครัว พ่อครัวเขาบอกว่ากำลังหั่นอยู่ แสดงว่าเขาจับจามรีได้แล้ว..! หายไปเป็นชั่วโมง คิดว่าไปไล่ต้อนอยู่กลางทุ่งโน่น
ปรากฏว่าเนื้อจามรีที่เขาส่งมาให้ มีทั้งเนื้อสดแล้วก็เนื้อแช่แข็ง รสชาติต่างกันเหมือนฟ้ากับเหวเลย เนื้อสดนี่จุ่มลงไป ๓ วินาทีขึ้นมา เนื้อนุ่มจนแทบจะละลายคาปาก ส่วนเนื้อแช่แข็งมานี่เหนียวเด้งดึ๋ง ๆ เลย ใครที่กินจิ้มจุ่มบ่อย ๆ คงจะนึกออกว่าที่อาตมาพูดนั้นเป็นอย่างไร"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-12-2019 เมื่อ 01:39
|