ขณะเดียวกัน
เราลองพิจารณาดูว่า เราพลาดโอกาสที่ดีไปมากต่อมากด้วยกัน ก็เพราะตัวกูของกูที่ลงให้คนอื่นไม่เป็นหรือเปล่า ? เรื่องบางเรื่องถ้าไม่พูดก็ไม่ขาด แต่ถ้าออกพูดไปจะเกินมาก โดยเฉพาะถ้าเข้าหูผู้ที่มีอำนาจเหนือตน จะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ตนได้มากกว่าที่เราคิด
โบราณท่านถึงได้บอกว่า
พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง มาตราโบราณเขาว่า
๔ ไพ เป็น ๑ เฟื้อง
๒ เฟื้อง เป็น ๑ สลึง
๔ สลึง เป็น ๑ บาท
๔ บาท เป็น ๑ ตำลึง
๒๐ ตำลึง เป็น ๑ ชั่ง
๕๐ ชั่ง เป็น ๑ หาบ
พูดไปได้แค่ ๒ ไพ แต่ถ้าเรานิ่งเสีย มีคุณค่าเท่ากับทองคำหนึ่งตำลึง ก็คือมีค่าเป็นทองคำหนักตั้ง ๔ บาท แล้วก็เป็นบาทโบราณด้วย ถ้าเป็นสมัยนี้น่าจะเป็นทองคำ ๔๐ บาทมากกว่า
ดังนั้น..พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสเอาไว้ใน
มังคลสูตรว่า
สิปปัญจะ เอตัมมัง คะละมุตตะมัง การมีศิลปะถือว่าเป็นสุดยอดอุดมมงคล
ศิลปะในที่นี้ คือ
ศิลปะในการดำรงชีวิต ศิลปะการใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่น ศิลปะในการปฏิบัติหน้าที่การงาน ทำอย่างไรที่จะเข้ากับคนอื่นให้ได้ดีที่สุด ? สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แม้จะเป็นของเก่าของโบราณ แต่ก็ไม่เคยล้าสมัย ทว่า..สำหรับบุคคลที่ปรับใช้ไม่เป็นแล้ว ก็จะล้าสมัย ไม่เห็นประโยชน์
ดังนั้น..สิ่งที่พูดในวันนี้ ขอให้พวกเราจำขึ้นใจเลยว่า ถ้าในสายตาของพระ ประเมินงานของเราแล้วยังตก ในสายตาของเจ้านายที่ประเมินเราแล้ว ก็ไม่น่าจะได้ ต้องตกเหมือนกัน ยับเยินพอ ๆ กัน
พวกเราลองนึกดูซิว่า ในการประชุมงานแต่ละครั้ง หลังจากที่ผ่านไปได้ระยะหนึ่งแล้ว มีการงัดข้อกันหน้าดำหน้าแดง ไม่มีใครลงให้ใคร สุดท้ายสรุปงานลงไม่ได้ มีบ้างไหม ?
แล้วเราเคยถามตัวเองบ้างไหม ว่านี่เป็นความผิดของเราหรือเปล่า ? ไม่ใช่มองไปว่าคนอื่นผิด
ถ้าเราสรุปได้อย่างไม่เข้าข้างตัวเองแล้ว ว่าเราไม่ผิด ก็แปลว่า เราสรุปผิด เพราะเราผิดตั้งแต่เสือกทะลึ่งมีเพื่อนร่วมงานแบบนี้แล้ว..!