"พอลงมาทางด้านนี้ปรากฏว่าบรรดาอาซิ้มอาอึ้มเขาไล่ตามถ่ายรูปพระไทยกัน จึงมีการประลองวิชาตัวเบากันว่าใครจะเร็วกว่า ระยะทาง ๖ กิโลเมตร รู้สึกว่าอาตมาเดินแค่พักเดียวเอง ...(หัวเราะ)...
พวกเราเดินออกมาปรากฏว่าเป็นตอนปลายของทุ่งหญ้ารั่วหลง มองไปก็เห็นรถเมล์ ต้องเรียกว่ารถแบตเตอรี่ รถไฟฟ้า จึงไปนั่งรอเวลาเดินทาง แล้วคิดขึ้นมาได้ว่ารถเขียวต้องฉีกตั๋ว แล้วตั๋วของเราเขาก็ฉีกไปแล้ว แสดงว่าเราต้องไปรถขาวที่ส่งเราจากโรงแรมเข้ามา จึงต้องกัดฟันเดินกลับ
เดินมาจนถึงหน้าวัดชงกู่ อาตมาเห็นว่าเป็นศูนย์กลาง ก็คือใครไปใครมาต้องผ่านตรงนี้ จึงยืนรอ เหตุที่ต้องยืนรอก็เพราะว่า ถ้าพระยืนอยู่ทุกคนจะเห็น แต่ถ้าคนอื่นยืนอยู่บางทีก็มองกันไม่เห็น เพราะว่าใส่เสื้อผ้าคล้าย ๆ กัน เสื้อกันหนาวก็ใส่กันจนอ้วนเป็นหมีเลย..!
จนกระทั่งมากันครบ ก็เดินออกไปข้างนอกจนถึงท่ารถที่จะไปย่าติง ปรากฏว่าหม่าม้าหาย ...(หัวเราะ)... คุณแม่ประจำคณะไปไหนก็ไม่รู้ โทรถามกันอุตลุด สรุปแล้วมัคคุเทศก์บอกว่าเห็นเดินลึกเข้าไปทางด้านใน เดี๋ยวเขาไปตามให้ อาตมาก็รอ รอไปก็ดูพวกกระรอก นก พวกอะไรไล่แย่งอาหารจากคน นักท่องเที่ยวตั้งใจให้บ้าง ไม่ตั้งใจให้บ้าง ถ่ายรูปบ้าง ยุ่งไปหมด"
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-12-2019 เมื่อ 13:30
|