ย้อนกลับมาว่า ตั้งแต่แรกทำตามตำราอย่างเดียว พอเข้ากรุงเทพฯ มา พี่ชายชวนไปถวายสังฆทานที่บ้านสายลม ก็ไม่ไป..ฝากไปแต่เงินอย่างเดียว คราวนี้พอมาฝึกกรรมฐาน ฝึกเสร็จก็ออก พี่ชายเขาก็ถามว่า "สวรรค์หน้าตาเป็นอย่างนั้น นรกหน้าตาเป็นอย่างนี้อย่างนี้..ใช่ไหม ?" อาตมาบอกว่า "ไม่แน่ใจ"
"ก็เมื่อกี้เห็นตอบเอา ตอบเอา"
"นั่นครูฝึกเขาถาม แล้วเห็นชัดก็บอกได้ แต่ตอนนี้พี่ถาม ผมไม่รู้นี่หว่า..!" ก็คืออาตมาไม่ได้ตั้งสมาธิอยู่..ใช่ไหม ? ก็เลยบอกไม่ได้ ขาดความมั่นใจว่าตัวเองฝึกมโนมยิทธิได้ แต่ว่ากลายเป็นเพิ่มความมั่นใจอีกทางด้านหนึ่ง คือเพิ่มความมั่นใจว่าสิ่งที่หลวงพ่อสอนเรามานี่ ถ้าทำตาม..ได้แน่ ก็เลยเกิดความนึกอยากไปหาหลวงพ่อขึ้นมา
ดังนั้นพอเดือนถัดมา ปรากฏว่าพี่ชายไม่ต้องชวน พอเขาขยับรถอาตมาก็กระโดดเกาะท้ายไปเลย ไปถึงก็รอหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านจะลงมารับสังฆทานตอนประมาณ ๘ โมงครึ่ง อาตมาก็ไปกราบพระแล้วก็นั่งรอ ว่าง ๆ ไม่มีอะไรทำก็นั่งสมาธิไป พอหลวงพ่อท่านลงมา สังฆทานเตรียมไว้แล้วนี่ ก็ถวายท่าน ท่านก็แจกแหนบให้อันหนึ่ง บอกว่า “ไอ้หนู..เอาไปติดตัวไว้ ถ้าหากว่าหมั่นภาวนารักษาศีลห้าให้ดีละก็ อยู่ที่ไหนก็ปลอดภัย” นั่นจึงเป็นแหนบอันที่หนึ่ง พอถวายสังฆทานเสร็จก็ลาท่านกลับ เดือนต่อมาแหนบอันนั้นก็เหน็บติดไปด้วย หลวงพ่อก็ให้แหนบมาเป็นอันที่สอง เดือนต่อ ๆ ไปก็อันที่สาม เรียงเป็นตับเลย ทำอย่างนั้นอยู่เป็นปี แค่ได้ถวายสังฆทานก็พอใจแล้ว
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 26-12-2013 เมื่อ 11:22
|