ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 05-02-2012, 10:34
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,500
ได้ให้อนุโมทนา: 151,165
ได้รับอนุโมทนา 4,405,677 ครั้ง ใน 34,089 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เทศน์วันสงกรานต์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสส
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ ติ


ณ บัดนี้ อาตมภาพรับหน้าที่วิสัชนาในสุตกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ของบรรดาทานิสราธนบดีทั้งหลาย ที่พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลเนื่องในวันสงกรานต์ ณ วัดท่าขนุนแห่งนี้

ญาติโยมทั้งหลาย บุคคลเราที่เกิดมานั้น จักต้องเป็นที่ผู้บำเพ็ญบารมีมาสมควรแก่ธรรมแล้ว จึงจะได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา แปลว่าท่านทั้งหลายนั้น ได้สั่งสมกุศลบุญราศีส่วนหนึ่งมาตามสมควรแล้ว และท่านทั้งหลายยังเป็นผู้ที่ใฝ่บุญ ใฝ่กุศล เสริมสร้างบุญกุศลให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เมื่อกิจการงานใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เกี่ยวข้องกับการบุญการกุศล ท่านทั้งหลายก็พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลโดยพร้อมเพรียงกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ นอกจากแสดงออกซึ่งความเป็นกายสามัคคี คือการที่เราพร้อมใจกันทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยพร้อมเพรียงกันแล้วไซร้ ยังเป็นการแสดงออกว่า ญาติโยมทั้งหลายนั้น เป็นผู้ที่มีจิตใจอยู่ในบุญในกุศล ได้กระทำในสิ่งที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงสั่งสอนเอาไว้ ซึ่งพระองค์ได้กล่าวเอาไว้ในเรื่องของบุญกุศลนั้นว่า มีอยู่ ๑๐ ประการด้วยกัน เรียกว่าบุญกิริยาวัตถุ แต่ว่าจะมีในส่วนหลัก ๆ อยู่ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล และภาวนา

ในส่วนของทานมัย คือบุญที่สำเร็จด้วยการให้ทานนั้น พระองค์ท่านได้ตรัสเอาไว้ว่า ถ้าหากว่าเราทำ ๑ จะมีผลเป็น ๑๐๐ ส่วน เนื่องจากว่า สิ่งทั้งหลายที่เราได้กระทำ โดยการสละออกนั้น เป็นการตัดความโลภในจิตในใจของตนเอง สิ่งที่เราหามาได้ยาก ยังสามารถตัดใจสละออกให้แก่ผู้อื่นได้ ถือว่ากำลังใจอันยิ่งใหญ่นั้น เสริมสร้างให้บุญกุศลเพิ่มพูนขึ้นเป็นร้อยเท่าของวัตถุที่เราได้สละออก

บางคนได้กล่าวเอาไว้ว่า การที่เราทำ ๑ แล้วได้ ๑๐๐ นั้น ความจริงน่าจะได้มากกว่า แต่เนื่องจากว่าทานเป็นการสละออกด้วยกายเพียงอย่างเดียว จึงมีผลแค่ ๑๐๐ ส่วนเท่านั้น ตรงจุดนี้อาตมภาพเอง มีความเห็นแย้งอยู่เล็กน้อยว่า ไม่น่าจะถูกต้อง เนื่องจากว่า ถ้าใจไม่คิดจะให้ อย่างไรเสียกายก็ให้ไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าจะกล่าวไปแล้วควร ก็ควรจะบอกว่า ในเรื่องของทานบารมีนั้น เป็นไปเพื่อกามาวจร คือ การที่ยังเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในภพภูมิอันเกี่ยวเนื่องด้วยกามต่างหาก จึงทำให้มีอานิสงส์น้อยไปนิดหนึ่ง คือทำ ๑ แล้วได้ ๑๐๐ ส่วน

ในบุญกุศลส่วนที่ ๒ ท่านเรียกว่าศีลมัย บุญที่สำเร็จด้วยการรักษาศีล ท่านได้กล่าวเอาไว้ว่า ทำ ๑ มีอานิสงส์เป็น ๑๐,๐๐๐ เนื่องจากว่า เป็นการบังคับทั้งกายและวาจาของเรา ให้อยู่ในกรอบที่เรียบร้อย ข้อนี้อาตมาเห็นด้วย แต่อยากจะเสริมนิดหนึ่งว่า ในเรื่องของศีลนั้น ถ้าหากว่าเราสามารถทำได้ดี ทำได้ถูก เฉพาะศีลอย่างเดียว ก็สามารถที่จะส่งผล ให้เราหลุดพ้นเข้าสู่พระนิพพานได้ แต่ถ้าเอาอานิสงส์ทั่ว ๆ ไปในส่วนของกามาวจร เราทำ ๑ ได้ ๑๐,๐๐๐ ก็ถือว่าสมควรแล้ว เพราะว่าต้องบังคับกายและวาจาให้อยู่ในกรอบ ซึ่งตัวที่จะบังคับนั้น ก็คือจิตใจซึ่งประกอบไปด้วยสติและปัญญานั่นเอง

ดังนั้น..การทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้น ล้วนแล้วแต่ต้องเกิดจากใจก่อน แล้วถึงจะออกมาเป็นวาจา ออกมาเป็นกาย ไม่สามารถที่จะทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด โดยปราศจากความตั้งใจก่อนได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2012 เมื่อ 02:21
สมาชิก 67 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา