ดูแบบคำตอบเดียว
  #1  
เก่า 13-10-2009, 23:53
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,459
ได้ให้อนุโมทนา: 151,110
ได้รับอนุโมทนา 4,400,256 ครั้ง ใน 34,048 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default เป็นหนี้ร้อยกว่าล้าน..!

วันก่อนมีโยมคนหนึ่ง ไปถึงวัดก็ไปตะโกนเรียก อาตมากำลังจารตะกรุดอยู่ ก็บอกว่า "เข้ามาสิ..ประตูไม่ได้ล็อก" พอโผล่หน้าขึ้นมา เขาบอกว่าเขาเครียดมาก เพราะว่าตอนนี้มีหนี้อยู่ร้อยกว่าล้าน ตอนแรกกู้ธนาคารมา แล้วไปทำกิจการอยู่แถวอมตะซิตี้ ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวเอง แต่ปัญหาไปอยู่ที่ผู้ว่าจ้าง ถึงเวลาก็ไม่จ่ายค่างวดให้ตรงเวลา ทีนี้เขากู้เงินมา ไม่มีเงินไปให้ธนาคาร เขาก็โดนเร่งรัด พอโดนเข้าบ่อย ๆ เขาก็ให้ปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้ใหม่ แม้ว่าระยะเวลาจะยืดขึ้น แต่ว่าการจ่ายมักจะหนักกว่าเดิม เพราะต้องจ่ายดอกพร้อมต้นบางส่วนด้วย ก็เลยเครียด มาปรึกษาอาตมา

จึงถามเขาว่า ก่อนที่คุณทำงานเคยคิดบ้างไหมว่า ถ้าเกิดผิดพลาดขึ้นมาแล้วจะแก้ไขอย่างไร ? ..เขาก็เงียบ.. ตอนที่คุณคิดจะทำงาน คุณเคยคิดบ้างไหมว่าถ้าหากว่าเจ๊งขึ้นมา คุณจะแก้ไขอย่างไร ? ..เขาก็เงียบ.. ถามว่าคุณคิดอย่างเดียวว่า ทำงานชิ้นหนึ่งจะได้กำไรเท่าไร ถ้าทำเท่านี้จะได้แค่นี้ ถ้าทำแค่นั้นจะได้เท่านั้น อย่างนี้ใช่ไหม ? ..เขาบอกว่าใช่ จึงบอกเขาไปว่า ถ้าอย่างนั้นแสดงว่าคุณขาดธรรมะมาก ถ้าหากคุณทำแล้วได้ผลดี แปลว่าบุญเก่าของคุณดีจริง ๆ แต่ถ้าทำแล้วเจ๊งอย่างปัจจุบันถือว่าเป็นเรื่องปกติ

เพราะว่าคุณไม่ได้เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามาใช้ในเรื่องการงานเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่าทุกอย่างเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง เราจะไปกำหนดว่าทำหนึ่งต้องได้ห้า ทำสองต้องได้สิบ ทำยี่สิบต้องได้ร้อย นั่นไม่ใช่แล้ว.. การทำงานเราต้องคิดในแง่ร้ายที่สุดไว้ก่อน อย่างเช่นว่า กิจการเจ๊งเราจะมีทางแก้ไขอย่างไร ? เราจะเอาตรงไหนมาสนับสนุน ? แล้วขณะเดียวกันเราจะมีเงินส่วนไหนมาค้ำจุน ? หรือจะถอยไปยืนอยู่ตรงจุดไหนเพื่อที่จะแก้ไขเหตุการณ์นี้ ? ถ้าสามารถคิดตรงนี้เอาไว้ให้เรียบร้อยก่อน คุณจะทำงานอะไรก็ได้ แต่ถ้าคิดตรงจุดนี้ไม่เป็น ไปคิดว่าหนึ่งบวกหนึ่งต้องได้สอง สองบวกสองต้องได้สี่ อย่างนั้นถ้าไม่ใช่บุญเก่าดีจริง ๆ ทำอะไรก็เจ๊ง..!

โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เริ่มต้นทำงานก็ผิดแล้ว ให้สังเกตดูรุ่นปู่ย่าตาทวดของเรา ปู่ย่าตาทวดส่วนใหญ่มาจากเมืองจีน มาในลักษณะเสื่อผืนหมอนใบ ค่อย ๆ ทำงาน ค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบ พอมีเงินสักส่วนหนึ่งทำกิจการได้ อย่างสมัยนั้นก็อาจจะ ๒๐๐ บาทหรือ ๓๐๐ บาท ก็จะเปิดการค้าขายเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยตัวเอง ถ้าเขาผิดพลาดก็จะหมดแค่นั้น หนี้สินไม่มี แต่ถ้าสมัยนี้ผิดพลาดขึ้นมา เราจะไม่หมดแค่นั้น เรายังมีหนี้กองโตรออยู่ เพราะว่าเราเริ่มต้นด้วยการเป็นหนี้เสียแล้ว แปลว่าเราบริหารผิดมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะเราดันไปเชื่อทฤษฎีตะวันตกที่ว่า คนที่มีหนี้สินคือคนที่มีเครดิตดี แต่ถ้าหากว่าเราทำตามแบบของปู่ย่าตาทวดที่ท่านทำมา อาจจะดูเหมือนไม่หวังความก้าวหน้า อาจจะเป็นกิจการเล็ก ๆ ก่อน แต่ความมั่นคงจะมีมากกว่า เพราะว่าค่อยเป็นค่อยไป

ตัวอย่างที่ชัดที่สุดต้องบริษัทสหพัฒนพิบูล อันนั้นของเขาค่อย ๆ ก้าว ค่อย ๆ ขยับขยายขึ้นมา พอโตก็แตกสายกระจายกว้างออกไป ๆ เป็นการประกันความเสี่ยง ประกอบธุรกิจหลายด้าน ขณะที่เศรษฐกิจตก เกิดการล้มละลายทางการเงินขึ้น บริษัทนี้เขาไม่สะเทือนเลย เพราะว่าเขาไม่มีหนี้ต่างประเทศ คนอื่นจะลำบาก จะดิ้นรนก็ดิ้นไป เขาอาจจะลำบากหน่อยตรงที่กิจการไปได้ยาก เพราะว่าบรรดาคู่ค้าต่าง ๆ ล้วนแต่ประสบปัญหาทางการเงินทั้งนั้น แต่ในเมื่อตัดปัญหาเรื่องหนี้สินออกไปเสีย อย่างไรก็พอที่จะประคับประคองกันไปได้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2015 เมื่อ 10:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา