ดูแบบคำตอบเดียว
  #278  
เก่า 24-04-2015, 17:31
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,886 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

จิตไม่เผลอด้วยสติปัญญาอัตโนมัติ

ท่านเปรียบการพักหลับเป็นกำลังอันหนึ่งทางธาตุขันธ์ การพักจิตเข้าสู่สมาธิเป็นกำลังอันหนึ่งทางจิตใจ เพราะเมื่อกำลังวังชาไม่พอก็เป็นเหมือนมีดไม่คม ฟันเท่าไรก็ไม่ขาดง่าย ๆ การพักสู่สมาธิจึงเป็นเหมือนหินลับมีดพร้อมใช้งานต่อไป ดังนี้

“... นี่ละ ขั้นสติปัญญาอัตโนมัติ พอจากนี้หมุนเข้าไป ละเอียดลออเข้าไป ๆ แล้วก็เชื่อมโยงถึงมหาสติมหาปัญญา เพียงขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ก็ไม่มีเผลอแล้ว จิตจะเผลอ สติสตังเผลอไม่มีแล้ว พอก้าวเข้าสู่มหาสติมหาปัญญา นอกจากไม่เผลอแล้วยังละเอียดลออซึมซาบไปหมดเลย


สติปัญญาอัตโนมัตินี้ยังเป็นคลื่น ๆ ถ้าทำงานก็เหมือนเขาฟักลาบยำลาบ ถึงจะยำถี่ยิบขนาดไหน มันก็เป็นคลื่นแห่งการยำลาบอยู่นั้นแหละ ทีนี้พอก้าวจากสติปัญญาอัตโนมัตินี้เข้าไปสู่มหาสติมหาปัญญา ทีนี้ราบรื่นไปเลย ซึมซาบ ฆ่ากิเลสก็ซึมซาบ อะไรซึมซาบทั้งหมดไปตาม ๆ กัน นี่เรียกว่ามหาสติมหาปัญญา ...

ทีนี้ การพิจารณาสติปัญญาอัตโนมัติก็ถือเอาขั้นอนาคาฯ นี้ อารมณ์ของอนาคาฯ นิมิตของอนาคาฯ นี้ ฝึกซ้อมจนชำนิชำนาญแล้วกลายเป็นว่างไปหมด หมดนิมิตที่เกี่ยวกับจิต ซึ่งเรามาตั้งฝึกซ้อมนี้หมดไป ๆ หมดเร็วเข้า ๆ สุดท้ายหมด.. ตั้งขึ้นพับดับพร้อม ๆ เหมือนฟ้าแลบ ๆ ต่อไปอย่างงั้น ไม่มี ไม่มีจะเป็นอะไร ที่นี่นะ จิตมันว่างไปหมดแล้ว มันหากเป็นเอง สิ่งที่มีเงื่อนต่อมันมีเหมือนกับไฟได้เชื้อ เชื้อไฟมีอยู่ที่ไหน ไฟจะลุกลามไปตามเชื้อโดยไม่บังคับกันแหละ ขอให้มีเชื้อไฟเถอะ ไฟจะลุกลามไปตาม

อันนี้ขอให้มีเชื้อกิเลสอยู่ที่ตรงไหน สติปัญญาซึ่งเป็นเหมือนกับไฟ ความพากความเพียรเหมือนกับไฟจะหมุนเข้าไปพิจารณาเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เวทนาก็ถือเอาเวทนาทางกายบ้าง ถือเอาเวทนาทางจิตบ้าง ส่วนมากจะเป็นเวทนาทางจิตนะ ทางกายผ่านไปแล้วไม่ค่อยสนใจ สัญญา สังขาร วิญญาณ มักจะมีแต่สุขเวทนาภายในจิตใจ ทุกขเวทนามีแต่ว่าน้อย ๆ ลงไปโดยลำดับ สุขเวทนานั้นเด่น ๆ นี่ก็อยู่ในขั้นสมมุติ สัญญา สังขาร วิญญาณ เฉพาะอย่างยิ่งคือสังขาร พอปรุงแพล็บ ๆ ปรุงมาจากไหน ปรุงมาจากใจ ดับไป ดับไปไหนมาจากใจ

สัญญาหมายปั๊บ มาจากไหน สติปัญญานี้จะหมุนตาม ๆ ทันทีโดยหลักธรรมชาติ สุดท้ายมันก็หมุนออกจากใจ หมุนเข้ามาก็หมุนเข้ามาสู่ใจ ติดตามเข้าไปหาพระราชวังหลวง คืออวิชชาปัจจยา สังขารา ได้แก่ กษัตริย์วัฏจักรอยู่ในท่ามกลางนี้แหละ อวิชชาเป็นกำแพงล้อมเอาไว้ ตัวอวิชชาจริง ๆ อยู่ในกำแพง เพราะฉะนั้น จึงติดตามเหล่านี้เข้าไว้ ติดตามอันนี้เข้าไปเรื่อย ๆ ฝึกซ้อมกันเรื่อย พอมันเข้าใจ.. เข้าใจหลายครั้งหลายหน เข้าใจเรื่อย ๆ เข้าไปก็ตามเข้าไปถึงอวิชชาปัจจยา สังขารา กลายเป็นปัจจยาการขึ้นมาภายในจิตดวงนั้น เรียกว่าอริยสัจสี่ เป็นเต็มตัวแล้วเข้าไปนั้น แล้วจิตมันตามเข้าไปหลายครั้งก็ไปเห็นต้นตออันใหญ่หลวงคือ อวิชชาปัจจยา ซึ่งเป็นกษัตริย์วัฏจักรภายในหัวใจของเรา เพราะสิ่งอื่นมันปล่อยหมดแล้ว จิตใจว่างไปหมด ทั้ง ๆ ที่จิตก็ยังไม่ว่างตัวเอง แต่สิ่งภายนอกทั้งหลายมันว่างไปหมด ต้นไม้ ภูเขา ดินฟ้าอากาศ วัตถุต่าง ๆ นี้ว่างไปหมด ไม่มีในจิตใจ จิตใจกลายเป็นความว่างไปหมดแล้ว เหลือตั้งแต่ภายในตัวเองยังไม่ว่าง อ่านให้มันถึงอย่างงั้นซิ นักปฏิบัติให้ถึงตัวอะไรยังไม่ว่าง ก็อวิชชาปัจจยา สังขารา ยังสำคัญว่าอันนั้นว่าง อันนี้ว่าง ตัวเองลืมตัวเอง ตัวเองยังไม่ว่าง ให้ย้อนเข้ามาจนกระทั่งถึงตัวจริงของอวิชชา...”

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 25-04-2015 เมื่อ 01:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา