ข้อต่อไป คือ “ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร” คือให้สำรวมในศีลตามสภาพของตน คือ ฆราวาสปุถุชนทั่วไปพยายามรักษาศีล ๕ อุบาสกอุบาสิกาพยายามรักษาศีลอุโบสถหรือศีล ๘ สามเณรรักษาศีล ๑๐ พระภิกษุสงฆ์รักษาศีล ๒๒๗ เป็นต้น พยายามชำระสะสางศีลของตนให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล เป็นต้น ถ้าสามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าเราปฏิบัติในวิธีการข้อที่สามขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ข้อที่ ๔ พระองค์ท่านตรัสว่า “มัตตัญญุตา จะ ภัตตัสมิง” ก็คือ รู้จักประมาณในการบริโภค ในเรื่องของข้าวปลาอาหารนั้น ถ้ากินล้น กินเกินมากเกินไป ก็ทำให้เราอึดอัด ง่วงเหงาหาวนอน ไม่สามารถที่จะปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ ถ้าหากว่าอ้วนมากจนเกินไป ร่างกายเคลื่อนไหวได้ลำบาก การปฏิบัติธรรมก็เป็นไปโดยยาก
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงได้สอนให้พระภิกษุสามเณร ตลอดจนกระทั่งอุบาสกอุบาสิกาที่ตั้งใจรักษาอุโบสถศีล ให้รับประทานอาหารแค่ไม่เกินเที่ยงวัน ก็คือประมาณสองมื้อ แต่สำหรับบางท่านที่เคร่งครัดมาก ก็รับประทานเพียงมื้อเดียวเท่านั้น ซึ่งระยะหลังนี้บรรดานักวิทยาศาสตร์ ตลอดจนกระทั่งวงการแพทย์ประเทศต่าง ๆ ในโลกตะวันตก ที่มีความเจริญมากกว่าประเทศเราก็ดี ได้ทำการวิจัยแล้วว่าร่างกายที่ขาดสารอาหารบ้าง ไม่ถึงขนาดกินล้นกินเกินจนเกินไป จะทำให้มีโรคน้อย และในขณะเดียวกันก็จะมีอายุขัยยืนยาวอีกด้วย
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-03-2018 เมื่อ 20:29
|