ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 18-09-2017, 19:10
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,371
ได้ให้อนุโมทนา: 150,708
ได้รับอนุโมทนา 4,397,109 ครั้ง ใน 33,960 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนการที่เรามีสติไปในกาย คือ พิจารณาเห็นร่างกายของเราว่า ไม่ใช่แท่งทึบ ประกอบไปด้วยอวัยวะภายใน ภายนอก น้อยใหญ่ ที่เรียกว่าอาการ ๓๒ ซึ่งเป็นทั้งสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเช่นกัน

ในส่วนของสมถกรรมฐานก็คือ การที่เรากำหนดคำภาวนาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ เป็นต้น แต่ถ้าเราพินิจพิจารณาว่า ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ทั้งหลายเหล่านี้ มีความสกปรกโสโครกเป็นปกติ ไม่ชำระสะสางแค่วันสองวันเราก็ทนไม่ได้

มีความไม่เที่ยงเป็นปกติ ผมก็หงอก ก็ขาว ก็หลุดร่วงไปได้ ขนในร่างกายก็หงอก ก็ขาว ก็หลุดร่วงไปได้ เล็บของเราก็งอกยาวออกมาเรื่อย ๆ ฟันของเราก็หลุดก็ร่วง หนังของเราก็เหี่ยวก็ย่นลงไปได้ทุกวัน ถ้าหากว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งแปรปรวน แล้วเราไปยึดถือมั่นหมายว่าต้องไม่เปลี่ยนแปลง เราก็มีแต่ความทุกข์ใจ เพราะว่าไม่มีอะไรที่เราจะบังคับบัญชาได้ เรียกว่า อนัตตา ถ้าหากว่าในส่วนนี้จัดเป็นวิปัสสนาญาณ

สมถกรรมฐานสร้างสติสมาธิให้เกิดขึ้น เมื่อมีสติรู้เท่าทัน ราคะ โทสะ โมหะ ก็ไม่เกิดขึ้นกับเรา หรือว่าถึงเกิดขึ้น ก็อาศัยอำนาจของสมาธิ ระงับยับยั้งเอาไว้ได้ ถ้าลักษณะเบื้องต้นเช่นนี้ ก็แปลว่าเราเองนั้นพยายามปิดหนทางสู่อบายภูมิ หรือว่าพยายามระงับหนทางไปสู่อบายภูมิของเรา เพราะว่าราคะ คือความรักหรือโลภนั้น ถ้าไม่มีสิ่งอื่นมาแทรกมาปน ก็จะทำให้เราเกิดเป็นเปรต เป็นอสุรกาย ถ้าโทสะนั้นพาเราลงไปเป็นสัตว์นรกเลย ส่วนของโมหะนั้นพาไปสู่เดรัจฉานภูมิ เป็นต้น
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-09-2017 เมื่อ 03:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 37 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา