ถ้าพูดถึงว่า ‘อัศจรรย์ของอวิชชานี้ ก็อัศจรรย์จนขนาดสติปัญญาอัตโนมัติชมเชย’ พูดง่าย ๆ นะ ‘ยกย่องชมเชย ถวายตัวเป็นองค์รักษ์’ พูดง่าย ๆ
แต่เพราะขึ้นชื่อว่าสมมุติแล้วจะละเอียดขนาดไหนก็ตาม มันจะแสดงอาการพิรุธให้เห็นจนได้ ด้วยสติปัญญาอัตโนมัติก็แหลมคมไม่ใช่เล่น เพราะไม่ใช่แต่เพียงรักษาอย่างเดียว ยังต้องสังเกตว่ามีอะไรเกี่ยวข้องกับนี่ ๆ ทีนี้มันก็มีเพราะอันนี้เป็นตัวสมมุติ ทีนี้สมมุติที่จะแทรกกันขึ้นมากับสมมุตินี้ ก็ได้แก่ความผ่องใส ความเศร้าหมอง คือความผ่องใสนั้น.. ผ่องใสตามส่วนของธรรมละเอียด เศร้าหมองก็เศร้าหมองตามส่วนของธรรมละเอียด มันหากมีจนได้ แม้จะละเอียดขนาดไหนสติปัญญานี้ก็ทันก็รู้ เมื่อแสดงขึ้นมาหลายครั้งหลายหนก็ทำให้เอะใจ
‘เอ๊ะ.. ทำไมธรรมชาติอันนี้นึกว่าจะคงเส้นคงวาแล้ว ทำไมจึงมีอาการแปลก ๆ ให้เห็น เดี๋ยวว่าผ่องใส เดี๋ยวว่าเศร้าหมอง ถึงจะละเอียดแค่ไหนก็ตามนะ’
จิตละเอียดแค่ไหน... ความเศร้าหมอง ความผ่องใส ก็จะละเอียดไปตาม ๆ กันนั้นแหละ แม้เช่นนั้นมันก็ไม่ทนกับสติปัญญาที่จ่ออยู่ตลอดเวลาได้ ทั้ง ๆ ที่รักษาอยู่มันก็แสดงอาการให้เห็นพิรุธ.. ก็จับปั๊บเข้าไปซิ เลยเอาจุดนี้เป็นสนามรบละ ที่นี่ ‘เอ๊ะ.. นี่มันอะไรถึงเป็นอย่างนี้’ กว่าจะรู้นะ ว่าเป็นของดิบของดี ว่าเป็นของวิเศษวิโส
‘ทำไมจึงมามีอาการเศร้าหมองบ้าง อาการผ่องใสบ้าง มีลักษณะทุกข์บ้าง สุขบ้าง ทำไมจึงมาเป็นอย่างนี้ ?’
คือทุกข์ ก็ทุกข์ตามส่วนละเอียดของธรรม ของจิตนั่นแหละ ไม่ทุกข์มากก็พอให้รู้จนได้ เพราะสติปัญญาขั้นนี้เป็นขั้นที่แหลมคมมาก ก็จับซิ..นั่นเป็นต้นเหตุให้พิจารณา ทีนี้จุดนั้นเลยเป็นจุดพิจารณาขึ้นแล้วทีนี้ เหมือนกับสภาวธรรมทั้งหลาย เราผ่านไปได้ก็เพราะเราพิจารณาเข้าใจแล้วผ่าน ๆ ไป ทีนี้อันนี้กำลังสงสัยมันก็จ่อเข้ามานี้อีก มันพิจารณาเข้าใจปั๊บก็ขาดลอยไปเลย ไม่มีอะไรเหลือ
ทีนี้เมื่อเราเทียบถึงว่า ความอัศจรรย์ของอวิชชาอันนี้กับความอัศจรรย์ของจิตที่บริสุทธิ์นั้น.. มันเป็นคนละโลกเลย ถ้าหากว่าเราจะเทียบก็เหมือนกับกองขี้ควายกับทองคำทั้งก้อน ผิดกันยังไง ความบริสุทธิ์นั้นเหมือนทองคำทั้งแท่งทั้งก้อน อวิชชานี้เหมือนกับกองขี้ควาย มันห่างกันขนาดนั้นนะ ผิดกันขนาดนั้น เพราะฉะนั้น.. จึงใครก็ตามถ้าไปเจอนี้ได้หลงกลอันนี้แล้ว และค่อยผ่านไปทีหลัง ยังไงก็ต้องเกิดความสลดใจ เห็นความโง่ของตัวเอง
‘โอ้โห ๆ ขนาดนี้เชียวหรือ อวิชชาขนาดนี้เชียวหรือ โอ้โห ๆ เลย เรานึกว่ามันอัศจรรย์ขนาดไหน อัศจรรย์อะไร กองขี้ควาย มันมาหลงกองขี้ควายจนได้’
เพราะสติปัญญาอันนั้นแหละ เพราะทางไม่เคยเดิน สิ่งไม่เคยรู้ แต่เวลาพิจารณาเข้าไป ๆ มันก็ตะล่อมเข้าไป ๆ ก็ไปถึงจุดสุดท้ายของมัน จุดสุดท้ายคือจุดนี้
ถ้าหากว่าแก้ไม่ได้มันก็ต้องอยู่นี่แหละ ยังพาให้หลง แม้จะไม่กลับมาเกิดอีกก็ตาม ก็ยังจะต้องเกิดอีกขั้นนั้นขั้นนี้ ถึงจะต่อไปได้ถึงที่สุดก็ยังเรียกว่าเกิด.. ไปเกิดในพรหมโลก ๕ ชั้นเป็นต้น อวิหา อตัปปา สุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา ๕ ชั้นนี้เป็นชั้นที่อยู่ของพระอนาคามีซึ่งกำลังดำเนินอรหัตมรรค อรหัตมรรคกำลังจะเต็มภูมิแล้ว พอรู้ปั๊บก็เป็นอรหัตผลขึ้นมาเต็มภูมิ...”
เมื่อถึงจุดนี้ย่อมเป็นสิ่งพิสูจน์ปฏิปทาการดำเนินของท่านว่า แม้จะทุกข์ยากลำบากเพียงใด ความพากเพียรเข้มแข็งมุ่งมั่นจริงจังของท่านก็มีน้ำหนักมากกว่า
ธรรมของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนพระภิกษุในครั้งพุทธกาล ให้มีพละ ๕ หรืออินทรีย์ ๕ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา ซึ่งเท่ากับเป็นการตามเสด็จพระพุทธเจ้าตลอดเวลา จึงปรากฏผลเป็นความจริง เป็นความบริสุทธิ์อยู่ภายในใจท่านตลอดไป
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-02-2020 เมื่อ 02:44
|