ถ้าหากว่าความรู้สึกของเราทั้งหมดอยู่กับปัจจุบัน ดูตามอาการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ทุกขณะจิต ก็แปลว่า การปฏิบัติของเรานั้น ถูกต้องตามหลักของสติปัฏฐานแบบพองหนอยุบหนอแล้ว
ถ้าเราจะเอามาดัดแปลงให้เข้ากับการปฏิบัติในปัจจุบันของเราตอนนี้ ก็คือ เราต้องกำหนดความรู้สึกทั้งหมดของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไป ว่าตอนนี้ผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออก..ออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..มาสุดที่ปลายจมูก
ให้จิตคือความรู้สึกทั้งหมดของเรานั้น ตามลมหายใจเข้าไปพร้อมกับคำภาวนา ตามลมหายใจออกมาพร้อมกับคำภาวนา ให้รู้เท่าทันอยู่กับปัจจุบันคือตอนนี้ เดี๋ยวนี้ ของลมหายใจเข้าออกของเราเอาไว้
ถ้าจิตของเราสามารถที่จะทรงตัวอยู่กับปัจจุบันของลมหายใจเข้าออกได้ เพียงระยะเวลาไม่นาน กำลังใจของเราก็จะก้าวขึ้นสู่ในระดับที่สูงขึ้น คือจากอุปจารสมาธิทั่วไป ก็จะก้าวเข้าสู่ความเป็นปฐมฌาน
การเดินตามสติปัฏฐานแบบพองหนอยุบหนอนั้น ท่านให้รั้งความรู้สึกไว้แค่ขณิกสมาธิหรืออุปจารสมาธิเท่านั้น เพราะว่าถ้าเป็นปฐมฌานขึ้นไป จิตกับประสาทจะเริ่มแยกออกจากกัน ถ้าไม่ใช่บุคคลที่ฝึกมาคล่องตัวจริง ๆ จะไม่สามารถเดินจงกรมได้
เมื่อเป็นดังนี้ จึงจำเป็นที่จะต้องอยู่แค่อุปจารสมาธิหรือขณิกสมาธิ แต่ว่าการปฏิบัติของเราในที่นี้นั้น การกำหนดรู้ปัจจุบันของเรา ถ้าอารมณ์ทรงตัว เราจะรู้สึกว่า ลมหายใจละเอียดขึ้น เบาขึ้น คำภาวนาบางทีก็หายไปเฉย ๆ ซึ่งเรามีหน้าที่แค่กำหนดตามดู ตามรู้ไปเท่านั้น
ถ้าปฏิบัติตามสติปัฏฐาน ๔ แบบพองหนอยุบหนอ ท่านจะให้กำหนดว่า รู้หนอ..รู้หนอ แต่เราไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า..รู้หนอ..ก็ได้ ถ้าสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน ถึงไม่มีคำภาวนาก็ใช้ได้เช่นกัน
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 13-11-2010 เมื่อ 01:47
|