สำหรับบางท่านแล้วถ้ารู้สึกว่าไม่ไหวจริง ๆ เพราะสภาพจิตฟุ้งซ่านมาก ก็ให้ตั้งสติอยู่เฉพาะหน้า ดูว่าจิตของเราคิดอะไร ถ้าเราจดจ่อคอยดูอยู่ สภาพจิตของเราจะคิดได้ไม่นาน เพราะว่าตัวรู้ที่ลงไปปรุงแต่งเหลือน้อย เมื่อตัวรู้กลายเป็นผู้จับจ้องดูว่าเราคิดอะไร สภาพจิตก็ไม่สามารถที่จะปรุงแต่งต่อไปได้นาน ก็จะยอมสงบนิ่ง ยอมอยู่กับลมหายใจในที่สุด
การกำหนดลมหายใจนั้น เราจะจับจุดกระทบฐานเดียว ๓ ฐาน ๗ ฐาน ก็แล้วแต่เราถนัด ถ้าการปฏิบัติใหม่ ๆ รู้สึกวาการจับลม ๓ ฐาน ๗ ฐานเป็นเรื่องยาก เราก็เอาฐานเดียว อย่างเช่นว่าจับอยู่เฉพาะที่ปลายจมูก ลมหายใจเข้ารู้สึกว่าหายใจเข้าผ่านจมูก ลมหายใจออกรู้สึกว่าหายใจออกผ่านจมูก หรือจะจับตรงส่วนของท้องซึ่งเป็นที่สุดของลมหายใจ ลมหายใจเข้าไปจนสุดที่ท้อง รู้อยู่ว่าลมหายใจเข้าไปจนสุดที่ท้อง ลมหายใจออกจากท้อง รู้อยู่ว่าออกจากท้องมาแล้ว
คำภาวนาก็อย่าใช้คำภาวนาที่ยาวมาก เพราะถ้าไม่มีความคล่องตัวแล้ว การใช้คำภาวนายาว ๆ จะลำบากในการจับลมหายใจไปด้วย เมื่อไม่มีความชำนาญ คำภาวนาลงตัวกับลมหายใจได้ยาก การภาวนามีการสะดุดหยุดยั้งเป็นระยะ ก็อาจจะเบื่อหน่าย รำคาญ ฟุ้งซ่านจนภาวนาไม่ได้ก็มี ให้ใช้คำภาวนาสั้น ๆ อย่างเช่น พุทโธหรือนะมะพะธะ หรือพองหนอ ยุบหนอก็ได้ เพียงแต่ว่าสติของเราต้องจดจ่ออยู่ที่ลมหายใจและคำภาวนาเท่านั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 19-03-2017 เมื่อ 14:47
|