ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 11-08-2011, 09:04
ลัก...ยิ้ม ลัก...ยิ้ม is offline
ทีมงานเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: May 2009
ข้อความ: 3,361
ได้ให้อนุโมทนา: 23,340
ได้รับอนุโมทนา 187,886 ครั้ง ใน 5,403 โพสต์
ลัก...ยิ้ม is on a distinguished road
Default

ในด้านปัญญาในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสแบ่งไว้ ๓ ขั้น คือ หยาบ กลาง ละเอียด คือ

ก) สุตมยปัญญา คือ รู้แค่จำได้ แค่สัญญาซึ่งเป็นอนิจจา

ข) จินตมยปัญญา คือ จำได้และพิจารณาใคร่ครวญ จนสามารถจะเข้าใจในธรรมนั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง คือ เกิดปัญญาและสัญญา ซึ่งก็ยังไม่เที่ยง ไม่จริง

ค) ภาวนามยปัญญา พิจารณาต่อไปในธรรมนั้น ๆ ให้เกิดความชำนาญ พิจารณาจนตีธรรมนั้น ๆ แตกแทงตลอดในธรรมนั้น ๆ จนสัญญาหมดไป หมายความว่าเขาเกิดของเขาเองเป็นอัตโนมัติ ถูกกระทบจิตก็รู้เอง ทำงานได้เองเป็นอัตโนมัติ ซึ่งใครเกิดก็เป็นปัญญาแท้ ๆ สัญญาหมดไป นี่แหละก็คือผลทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เป็นของจริงตรงนี้

ทางโลกเขามุ่งเอาธาตุ ๔ เป็นหลักเป็นรูปธรรม ส่วนทางธรรมมุ่งเอานามธรรมเป็นหลัก ทางโลกเขาค้นคว้า ส่วนเล็ก ๆ ไปถึงปรมาณู ซึ่งตาเปล่าไม่เห็น แต่กล้องอิเล็กตรอนสามารถทำให้เห็นได้ แต่ตัวจิต-อารมณ์ของจิต-กายของจิตหรืออทิสมานกาย พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นอณูพิเศษ ทางโลกเขายังไม่สามารถหาเครื่องมือใด ๆ มาจับ มาวัดได้

พระสิทธัตถะยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังเป็นเจ้าชายหรือพระโพธิสัตว์อยู่ ความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่จิต แม้ออกบวชแล้วก็ยังไม่ใช่พระภิกษุในพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนายังไม่เกิด ยังไม่มี ยังเป็นแค่นักบวชในศาสนาพราหมณ์ เพราะฉะนั้น การพูดถึงพระพุทธเจ้า จะต้องบอกด้วยว่าเรื่องนั้น ๆ มีมาก่อนเป็นหรือหลังเป็นพระพุทธเจ้า เพราะหากเป็นเรื่องหลังเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ใช้เป็นที่พึ่งที่ยึดถือได้ เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมเที่ยงเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย ลัก...ยิ้ม : 11-08-2011 เมื่อ 11:38
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 68 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ ลัก...ยิ้ม ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา