ในด้านปัญญาในพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าตรัสแบ่งไว้ ๓ ขั้น คือ หยาบ กลาง ละเอียด คือ
ก) สุตมยปัญญา คือ รู้แค่จำได้ แค่สัญญาซึ่งเป็นอนิจจา
ข) จินตมยปัญญา คือ จำได้และพิจารณาใคร่ครวญ จนสามารถจะเข้าใจในธรรมนั้น ๆ ได้ด้วยตนเอง คือ เกิดปัญญาและสัญญา ซึ่งก็ยังไม่เที่ยง ไม่จริง
ค) ภาวนามยปัญญา พิจารณาต่อไปในธรรมนั้น ๆ ให้เกิดความชำนาญ พิจารณาจนตีธรรมนั้น ๆ แตกแทงตลอดในธรรมนั้น ๆ จนสัญญาหมดไป หมายความว่าเขาเกิดของเขาเองเป็นอัตโนมัติ ถูกกระทบจิตก็รู้เอง ทำงานได้เองเป็นอัตโนมัติ ซึ่งใครเกิดก็เป็นปัญญาแท้ ๆ สัญญาหมดไป นี่แหละก็คือผลทางปฏิบัติในพระพุทธศาสนา เป็นของจริงตรงนี้
ทางโลกเขามุ่งเอาธาตุ ๔ เป็นหลักเป็นรูปธรรม ส่วนทางธรรมมุ่งเอานามธรรมเป็นหลัก ทางโลกเขาค้นคว้า ส่วนเล็ก ๆ ไปถึงปรมาณู ซึ่งตาเปล่าไม่เห็น แต่กล้องอิเล็กตรอนสามารถทำให้เห็นได้ แต่
ตัวจิต-อารมณ์ของจิต-กายของจิตหรืออทิสมานกาย พระพุทธองค์ตรัสว่าเป็นอณูพิเศษ ทางโลกเขายังไม่สามารถหาเครื่องมือใด ๆ มาจับ มาวัดได้
พระสิทธัตถะยังไม่ใช่พระพุทธเจ้า ยังเป็นเจ้าชายหรือพระโพธิสัตว์อยู่ ความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่ที่จิต แม้ออกบวชแล้วก็ยังไม่ใช่พระภิกษุในพุทธศาสนา เพราะพุทธศาสนายังไม่เกิด ยังไม่มี ยังเป็นแค่นักบวชในศาสนาพราหมณ์ เพราะฉะนั้น การพูดถึงพระพุทธเจ้า จะต้องบอกด้วยว่าเรื่องนั้น ๆ มีมาก่อนเป็นหรือหลังเป็นพระพุทธเจ้า เพราะ
หากเป็นเรื่องหลังเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ใช้เป็นที่พึ่งที่ยึดถือได้ เพราะพระธรรมที่พระองค์ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ย่อมเที่ยงเสมอ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นอีก