เราต้องมาพินิจพิจารณาว่า บุคคลที่ทำให้เราโกรธนั้น สิ่งที่เขาทำนั้นผิดหรือถูก ถ้าสิ่งที่เขาทำเป็นสิ่งที่ถูกต้องแต่ไม่ถูกใจเรา เราไปโกรธเขาเป็นเรื่องที่สมควรหรือไม่ ? เราก็จะรู้คำตอบเองว่าไม่ใช่เรื่องที่สมควรจะไปโกรธ เพราะว่าบุคคลที่ยอมสละตัวตนมาเป็นกระจก ส่องให้เราเห็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งามในตัวเอง ควรตั้งอยู่ในฐานะของครูที่เคารพมากกว่า ไม่ใช่ในฐานะศัตรูที่จะไปโกรธเกลียดพยาบาทเขา
แต่ถ้าหากสิ่งที่เขาคิด เขาพูด เขาทำต่อเรา ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง บุคคลที่ไร้ปัญญาจนขนาดไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร ก็ไม่น่าที่จะโกรธ หากแต่น่าสงสารมากกว่า ถ้าหากว่าเรารู้จักพินิจพิจารณาในลักษณะนี้ เราจะค่อย ๆ ปล่อย ค่อย ๆ วางโทสะของเราไปได้ จนกระทั่งสามารถแผ่เมตตาให้กับสรรพสัตว์ทั้งหลาย ทุกภพทุกภูมิ ทุกหมู่ทุกเหล่า ได้โดยเสมอหน้ากัน
โดยเฉพาะตัวเมตตาบารมีเป็นกรรมฐานที่สำคัญมาก นอกจากระงับความโกรธแล้ว ยังช่วยให้สภาพจิตของเราชุ่มชื่นเบิกบาน สามารถปฏิบัติธรรมได้ไม่เบื่อไม่หน่ายอย่างที่ตนเองต้องการ
ดังนั้น...ถ้าหากว่าท่านถนัดในการแผ่เมตตา ก็ค่อย ๆ แผ่เมตตา ถ้าถนัดในการภาวนา ก็จับวรรณกสิณกองใดกองหนึ่งขึ้นมาภาวนา ถ้าทำได้คล่องตัวเมื่อไร ก็สามารถระงับยับยั้งความโกรธลงไปได้อีกตัวหนึ่ง เราเองก็จะเบากายเบาใจ ด้วยกิเลสใหญ่หมดกำลังไปแล้ว
ลำดับต่อไปก็ขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาพิจารณาตามอัธยาศัยจนกว่าจะได้ยินสัญญาณบอกว่าหมดเวลา
พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ
วันเสาร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
(ถอดจากเสียงเป็นอักษรโดยคะน้า)
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-11-2017 เมื่อ 10:26
|