ถาม : เงินไม่ใช่น้อยเลย
ตอบ : เขาอยากเป็นทหารกันมากเพราะว่าแค่เบี้ยเลี้ยงอย่างเดียวอยู่ได้สบายแล้ว เนื่องจากว่าทหารที่กินที่อยู่ ผ้าผ่อนท่อนสไบ รัฐบาลให้หมด รุ่นของอาตมานี่เรียนกันแทบเป็นแทบตาย จบออกมาเงินเดือน ๑,๙๘๐ บาท ถ้าหากว่าเรียนร่มมาก็บวกไปอีก ๒๕๐ บาท ถ้าหากว่าจบปริญญามาก็บวกวิทยฐานะอีก ๒๗๐ บาท สรุปแล้วรวมกันแทบตายยังไม่ได้เท่าเบี้ยเลี้ยงพลทหารสมัยนี้เลย
สมัยนั้นเงินเดือนนายทหารชั้นประทวนเต็มขั้น ก็คือจ่านายสิบอาวุโส ๔,๘๐๐ บาท แต่ถ้าหากว่าคุณสอบนายร้อยติด จะลดเหลือสัญญาบัตรชั้น ๓ เงินเดือน ๒,๒๐๐ บาท กลายเป็นว่าได้ดาวมาเท่ ๆ แต่เงินเดือนหายไปเกินครึ่ง..!
บรรดาจ่าแก่ ๆ จึงไม่มีใครอยากเป็นนายร้อย จนกว่าจะ ๖ เดือนสุดท้ายก่อนเกษียณ รับไว้เป็นเกียรติแก่วงศ์ตระกูลว่าตัวเองได้เป็นนายทหารชั้นสัญญาบัตรเหมือนกัน มีโอกาสได้รับกระบี่พระราชทาน แต่ไปเอาตอนก่อนเกษียณ เพราะไม่อย่างนั้นแล้วเงินเดือนหายไปตั้งครึ่งตั้งค่อน จาก ๔,๘๐๐ บาทเหลือ ๒,๒๐๐ บาท
บรรดาจ่าแก่ ๆ บ่นกันอุบเลย "เงินหายไปทีขนาดนั้นแล้วกูจะเอาอะไรเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย ?" ส่วนใหญ่กว่าจะไปถึงระดับจ่านายสิบอาวุโสเงินเดือนเต็มขั้นก็มักจะราว ๆ อายุ ๕๐ กว่า ใกล้เกษียณกันแล้วทั้งนั้น
แต่ว่าไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนทหารจะได้รับความเชื่อถือมากกว่าตำรวจมาตลอด สมัยอาตมาอยู่ชายแดน ไปตั้งด่านตรวจสินค้าหนีภาษี ตั้งด่านคู่กับด่านตำรวจคนละฝั่งถนน ชาวบ้านเดินมาฝั่งทหารหมดเลย ปล่อยตำรวจนั่งตบยุง เพราะว่าตำรวจส่วนใหญ่เขาไปถืออำนาจตามกฎหมาย
ส่วนทหารเราไม่มีอะไร "มา..ของอย่างนี้เป็นยุทธปัจจัย คุณเอาออกมาครึ่งหนึ่ง คุณเอาไปครึ่งหนึ่ง" จบเลย ครั้งต่อไปเขาจะขนของหนีภาษีมาให้เองเลย ถามว่าเอาเท่าไร พอบอกว่าเอาครึ่งหนึ่ง เขาขนมาให้เลยครึ่งหนึ่ง แต่เขาเอาของหนีภาษีที่ไม่แพงมาให้ ส่วนแพง ๆ เขาเอาไปขาย ก็กลายเป็นว่าเราก็มีผลงานไปส่งเจ้านาย ส่วนเขาก็ได้ของไปขาย ก็จบกันแค่นั้น
ถาม : แล้วฝั่งตำรวจเขาทำอย่างไรคะ ?
ตอบ : ตำรวจซักประวัติไปโน่น ๑๘ ชั่วคน ทหารไม่มีหรอก เอ็งเอาลงเท่านี้แล้วก็ไปเลย จบกันแค่นั้น
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 15-02-2012 เมื่อ 15:22
|