เรื่องของศีลนั้น ในระยะแรกเริ่มที่เรารักษาศีลต้องใช้สติ สมาธิและปัญญา ระมัดระวังไม่ให้สิกขาบทต่าง ๆ ต้องบกพร่องลงไป เมื่อรักษาไปจนกระทั่งตนเองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีล ก็คือขยับตัวเมื่อไรรู้ทันทีว่าศีลเราจะขาดจะพร่องหรือไม่ นั่นจัดเป็นสีลานุสติเต็มระดับ
เมื่อถึงตอนนั้น ศีลจะกลับมารักษาเรา คือรักษากาย วาจา ใจของเราให้สมบูรณ์บริบูรณ์ไปด้วยศีล ไม่บกพร่อง ถ้าถึงระดับนั้นแล้ว เราก็จะมีเกราะป้องกันชั้นดี นอกจากจะป้องกันอันตรายทางโลก อย่างเช่น ป้องกันอันตรายจากคนร้าย จากสัตว์ร้าย ป้องกันอันตรายจากภัยต่าง ๆ อย่างภัยธรรมชาติ เช่น วาตภัย คือพายุที่เกิดขึ้น เป็นต้น
ในส่วนที่ละเอียดยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การป้องกันอบายภูมิ ไม่ให้เราต้องตกลงไปอยู่ในที่ลำบาก อย่างเช่น ตกนรก ตกไปในแดนเปรต ตกไปในแดนอสุรกาย ตกลงไปในแดนของสัตว์เดรัจฉาน ก็คือไม่ไปเกิดในสถานที่นั้น ๆ ถ้าอย่างนี้ศีลจะเป็นเครื่องรักษาเราได้เป็นอย่างดี ป้องกันอันตรายให้กับเราได้เป็นอย่างดี ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ศีลจะช่วยรักษาโภคสมบัติของเรา ให้ทรงตัวเยือกเย็น ไม่สูญเสียทรัพย์สินไปด้วยประการต่าง ๆ และศีลยังเป็นบันไดให้เราก้าวล่วงจากกองทุกข์ ไปสู่พระนิพพานได้
ดังนั้นในแต่ละวัน ก่อนที่เราจะเจริญกรรมฐานในเวลาใดก็ตาม ควรจะทบทวนศีลทุกสิกขาบทของเราให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ถ้ามีข้อใดบกพร่อง ให้ตั้งใจเดี๋ยวนั้นเลยว่า ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป เราจะเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่บกพร่อง แล้วตั้งหน้าตั้งตารักษาศีลของเราต่อไป ถ้าท่านใดมีศีลบริบูรณ์สมบูรณ์ดีแล้ว ก็คอยระมัดระวังรักษาไว้อย่าให้บกพร่อง
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 23-11-2012 เมื่อ 02:16
|