ถ้าถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าสมาธิของเราเข้าถึงจุดสูงสุดที่ตัวเองทำได้แล้ว ก็ให้สังเกตว่าเหมือนกับเราเดินไปจนเจอทางตัน ไม่สามารถที่จะไปต่อได้ สภาพจิตจะเกิดความรำคาญ และถอยกลับมา เมื่อไม่มีงานทำก็จะฟุ้งซ่าน
ดังนั้น เมื่อสภาพจิตไปจนสุดทาง ไปต่อไม่ได้แล้ว ก็ให้เราคลายสมาธิออกมา พินิจพิจารณาให้เห็นจริงในสภาพของร่างกายของเราก็ดี ของคนอื่นก็ดี ของสัตว์อื่นก็ดี ว่ามีความไม่เที่ยงเป็นปกติ เกิดขึ้นในเบื้องต้น เปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปในท่ามกลาง สลายไปในที่สุด
เริ่มแรกก็เป็นเด็กเล็ก ๆ หลังจากนั้นเป็นเด็กโต เป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว เป็นหนุ่มสาวเต็มตัว เป็นวัยกลางคน เป็นคนแก่ ในช่วงอายุทั้งหลายเหล่านี้ อาจจะตายลงไปช่วงใดช่วงหนึ่งก็ได้ ให้สภาพจิตของเราเห็นชัดและยอมรับจริง ๆ ว่า ร่างกายนี้หาความเที่ยงแท้แน่นอนไม่ได้ ระหว่างที่ดำรงชีวิตอยู่ก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทุกข์ของการเกิด ทุกข์ของการแก่ ทุกข์ของการเจ็บ ทุกข์ของการตาย ทุกข์ของการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ทุกข์ของการปรารถนาไม่สมหวัง ทุกข์ของการกระทบกระทั่งอารมณ์ที่ไม่ชอบใจ
แต่ละหัวข้อพยายามกระจายออกให้กว้างที่สุด อย่างเช่นว่าทุกข์ของการเกิด ทุกข์อย่างไร ตั้งแต่อยู่ในท้องแม่ต้องนอนขดอยู่ท่าเดียวตั้ง ๙ เดือน ๑๐ เดือน ปกติเรานั่งท่าเดียวไม่กี่นาทีก็เมื่อยจะแย่อยู่แล้ว การที่ต้องไปนอนขดในท้องแม่นานขนาดนั้น จะปวดเมื่อยขนาดไหน
ค่อย ๆ มองกว้างออกไป ๆ จนกระทั่งเห็นรายละเอียดครบถ้วนสมบูรณ์ทั้งหมด แล้วก็รวบกลับมาที่กำลังใจของเราว่า สภาพจิตของเรายอมรับอย่างแท้จริงไหมว่าร่างกายนี้เป็นทุกข์ เมื่อยอมรับอย่างแท้จริงไม่ถกเถียงอีก ก็ดูว่ายอมรับไหมว่าร่างกายคนอื่นก็เป็นทุกข์ เมื่อยอมรับโดยไม่มีการคัดค้านก็ดูต่อไปว่า ยอมรับไหมว่าร่างกายของสัตว์อื่นก็เป็นทุกข์ ถ้ายอมรับแล้ว ก็ดูว่ายอมรับไหมว่าวัตถุธาตุทั้งหมดก็เป็นทุกข์ โดยเฉพาะวัตถุธาตุต่าง ๆ ไม่ว่าสิ่งของใดก็ตาม มีสภาวทุกข์ คือ ก้าวไปสู่ความเสื่อมอยู่ตลอดเวลา
__________________
........................
เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง
จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-09-2017 เมื่อ 19:56
|