ดูแบบคำตอบเดียว
  #2  
เก่า 24-03-2024, 00:09
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 30,596
ได้ให้อนุโมทนา: 151,775
ได้รับอนุโมทนา 4,412,065 ครั้ง ใน 34,186 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพต้องไปยังสวนรื่นรมย์ ราฟท์วิว รีสอร์ท แต่เช้ามืด เพื่อไปร่วมงานที่ร้อยวันพันปีจะได้ไปสักครั้งหนึ่ง ก็คืองานแต่งงานของน้องออมสิน (นางสาวสมหทัย มีราศรี) ลูกสาวของครูสมควร - ครูสุจิตรา มีราศรี ซึ่งครูสมควรนั้นเป็นไวยาวัจกรของวัดท่าขนุน ส่วนครูสุก็เป็นคณะกรรมการชุมชนคุณธรรมต้นแบบวัดท่าขนุน

ส่วนน้องออมสินนั้น พวกกระผม/อาตมภาพเรียกแต่ชื่อเล่น จนกระทั่งจำไม่ได้ว่าชื่อจริงคืออะไร ท้ายที่สุดก็ต้องถามจากครูมอญ (นางพนอ จันทจิตร) ประธานชุมชนคุณธรรมริมฝั่งแควน้อย ในเมื่อตัวประธานชุมชนบอกกล่าวเอง จึงไม่น่าจะผิดพลาด

การแต่งงานจัดขึ้นที่รีสอร์ต ซึ่งต่อว่ากระผม/อาตมภาพว่า "บรรดาพระสายปกครองทั้งหมด ล้วนแล้วแต่มาที่รีสอร์ทแห่งนี้แล้วทั้งสิ้น ยกเว้นหลวงพ่อวัดท่าขนุน" กระผม/อาตมภาพก็ได้แต่ขำอยู่ในใจ เนื่องเพราะว่าไปเดินอยู่จนทั่วรีสอร์ทของเขาเพื่อหาข้อมูลมาแล้ว และตัวเจ้าของรีสอร์ทเอง ก็เป็นคนบอกกล่าวเองว่าแต่ละห้อง แต่ละแห่งนั้น ราคาเท่าไร ซึ่งกระผม/อาตมภาพจำเป็นจะต้องหาข้อมูล เพราะว่างานชุมชนคุณธรรมนั้น ส่วนหนึ่งก็คือ ต้องแนะนำที่พักสำหรับผู้ที่สนใจจะไปค้างคืนเพื่อดูงานด้วย

การแต่งงานนั้นก็เป็นพิธีตามแบบโบราณเป็นต้นมา ก็คือมีการสวมมงคล เจิมหน้าผาก ทำบุญใส่บาตร ฟังพระเจริญพระพุทธมนต์ และรับน้ำพระพุทธมนต์ ส่วนน้ำสังข์นั้นต้องรอให้ผู้ใหญ่ไปรดกันเอง ไม่ใช่หน้าที่ของพระ..!

เพียงแต่ว่าเมื่อมาถึงตรงจุดนี้ กระผม/อาตมภาพก็ไปนึกถึงพระบาลีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า บุคคลที่จะมีความรักต่อกันนั้น เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง ซึ่งเรื่องนี้นั้นมีมาในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ คือพระสุตตันตปิฎก อยู่ในขุททกนิกายชาตก หรือที่เรียกว่าชาดก ก็คือเอกจัตตาฬีสนิบาต ก็คือตอนที่ ๔๑ หรือว่าเรื่องที่ ๔๑

ในสมัยนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมหมู่ภิกษุเสด็จไปยังเมืองสาเกต เพื่อรับบิณฑบาต เมืองสาเกตนี้เป็นเมืองคู่แฝดของเมืองสาวัตถี เนื่องจากว่าเมืองสาวัตถีของแคว้นโกศลนั้น หาเศรษฐีที่มีฐานะระดับเศรษฐีจริง ๆ ไม่ค่อยได้เลย เนื่องเพราะว่าในสมัยก่อนนั้น บุคคลที่จะเป็นเศรษฐี จะต้องมีทรัพย์อย่างน้อย ๘๐ โกฏิ ถ้าหากว่าตีตามมาตราปัจจุบันก็คือ ๘๐๐ ล้านบาท แต่เราต้องเข้าใจว่า ๘๐๐ ล้านในสมัยนั้น ถ้าเป็นปัจจุบัน ๘ แสนล้านในสมัยนี้ ก็น่าจะน้อยเกินไป..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 24-03-2024 เมื่อ 00:59
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 30 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา