๓. “
อย่าหนีความโกรธ เพราะเป็นเรื่องของจิตที่ตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จงตั้งใจละความโกรธด้วยอำนาจของสมถะและวิปัสสนา (กสิณ ๔ และพรหมวิหาร ๔) จงอย่าท้อถอย คิดว่ากิเลสที่จรเข้ามาคือครูทดสอบอารมณ์ของจิต จึงต้องแก้ที่จิตตน อย่าไปแก้ที่บุคคลอื่น พยายามเจริญวิปัสสนาให้มาก (เจริญพรหมวิหาร ๔) จักเห็นโทษของความโกรธได้ชัด แล้วจึงจักละซึ่งความโกรธได้”
๔. “การรับฟังคำสอนของหลวงปู่ไวยก็ดี ของท่านฤๅษีก็ดี จากเสียงตามสายก็ดี
ให้นำมาคิดพิจารณาไตร่ตรองให้มาก ๆ จักมีผลให้จิตเจริญในธรรมปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป
อนึ่ง
เหตุผ่านไปแล้ว อย่าเอาจิตไปเกาะให้เศร้าหมอง ยกเหตุขึ้นมาพิจารณาเป็นบทเรียนสอนจิตได้ แต่อย่าเกาะ พยายามอยู่ในธรรมปัจจุบันให้มาก พยายามหลีกเลี่ยงการปะทะคารมกับผู้อื่นเข้าไว้ เพราะขึ้นชื่อว่าไฟไม่มีใครอยากเอามาเผากาย เผาใจตน หรือขี้ก็ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ พยายามอย่าใส่ใจกับอารมณ์โกรธที่มาจากภายนอก พยายามใส่ใจและควบคุมระงับความโกรธที่อยู่ภายในให้มาก
อย่าแก้บุคคลอื่น ให้มุ่งแก้ไขอารมณ์จิตของตนเองเป็นสำคัญ”
๕. “
พุทธานุสติอย่าทิ้งไปจากจิต ในเมื่อรู้ตัวว่าอารมณ์โทสะจริตยังเด่นอยู่ (อย่าทิ้งพระ อย่าไปไหนคนเดียว อย่าอยู่คนเดียว ให้อยู่กับพระ) และพยายามรู้ลมหายใจให้มาก รู้ภาพพระไปด้วย จักได้ช่วยระงับอารมณ์โทสะได้ และอย่าคิดว่าทำยาก ให้พยายามทำเข้าไว้ ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น
อย่าลืม จักไปพระนิพพานได้ ก็อยู่ที่จิตของเรานั้นต้องพยายามชนะความโกรธ-โลภ-หลง เตือนตนเองเอาไว้เสมอ ด้วยความไม่ประมาท เพราะชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายนั้นเที่ยงอาจเกิดกับเราได้ทุกขณะจิต พิจารณาจุดนี้ให้จิตยอมรับ จักได้ไม่มีความประมาทในชีวิต”
ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น เล่มที่ ๙
รวบรวมโดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
ขอเชิญทุกท่านเข้าไปอ่านได้ที่
www.tangnipparn.com