กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > เทศน์ในวาระสำคัญต่าง ๆ

Notices

ตอบ
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-03-2024, 18:31
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันมาฆบูชา วันที่ ๒๔ - ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันเสาร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ปีเถาะ จำไว้ว่าโหราศาสตร์แบบไทยเรานั้น ถ้ายังไม่ถึงขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ก็ยังนับเป็นปีเก่าอยู่ เมื่อเริ่มขึ้น ๑ ค่ำเดือน ๕ ถึงจะนับเป็นปีมะโรง เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนของเราใช้วันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ คำว่า สงกรานต์ มีความหมายหนึ่งว่า ข้ามหรือว่าผ่าน ก็คือข้ามจากปีเก่า หรือว่าผ่านจากปีเก่าไปยังปีใหม่นั่นเอง

เมื่อเรามานิยมใช้ปีใหม่ตามแบบสากลเมื่อปี ๒๔๘๓ โดยเปลี่ยนมาใช้วันที่ ๑ มกราคมเป็นวันขึ้นปีใหม่ ถ้าหากว่านับกันแบบปีสากล คนที่เกิดวันที่ ๑ มกราคม ๒๔๘๓ เขาถือว่าได้อายุนั้นเต็มปี แต่ถ้านับแบบเก่าก็จะมีอายุแค่ ๘ เดือน เนื่องเพราะว่าของเก่านับตั้งแต่ประมาณเดือนเมษายนเป็นต้นไป

คราวนี้วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ บาลีเขาเรียกว่า เดือนมาฆะ อ่านกันแบบบาลีคือ มาฆมาสัสสะ หรือ มาฆมาส มาสแปลว่าเดือน ถ้ามาศแปลว่าทอง คนละตัวสะกด คนละความหมายกัน ถ้าหากว่า มาตรนั่นคือเครื่องวัด

ภาษาไทยดิ้นได้ ต้องเขียนคำว่า "ใครขายไข่ไก่" ให้ฝรั่งดู มีภาษาไหนเขียนออกมาได้บ้างถ้าไม่ใช่ภาษาไทย ? ภาษาไทยของเรามีเสียงวรรณยุกต์ เอก โท ตรี จัตวา และยังมีเสียงสามัญด้วย รวมแล้ว ๕ ระดับเสียงด้วยกัน สร้างความปวดหัวให้กับฝรั่งเยอะมาก

ทุกวันนี้เกาหลีก็พยายามที่จะพูดภาษาไทย "ตังค์หมดแล้วค่า..!" พูดชัดเสียด้วย..! รู้ไหมว่าใครสอน ? ลิซ่าเขาสอนเพื่อน สอนจีซูให้พูดภาษาไทยว่า "ตังค์หมดแล้วค่า" พวกแฟนคลับแบล็คพิงค์ก็เลยหัดคำว่า "ตังค์หมดแล้วค่า" ไม่รู้หรอกว่าแปลว่าอะไร รู้อยู่อย่างเดียวว่าเป็นภาษาไทย

ไป ๆ มา ๆ รอบข้างของเราเรียนภาษาไทยกันจะหมดอยู่แล้ว ก็เลยกลายเป็นว่าภาษาของเราเริ่มได้รับความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ น่าจะประมาณปี ๒๕๕๕ หรือปี ๒๕๕๖ สิบกว่าปีมาแล้ว ในประเทศจีนโดยเฉพาะแหล่งเที่ยวสำคัญ ๆ อย่างพระราชวังต้องห้าม เขาจะมีคำบรรยายที่แปลเป็นภาษาสำคัญทั่วโลกอยู่ ๑๑ ภาษา หนึ่งในจำนวนนั้นคือภาษาไทย เหลือเชื่อเหมือนกันว่าประเทศเล็ก ๆ อย่างของเรากลายเป็นภาษาสำคัญขนาดนี้
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:24
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 01-03-2024, 18:37
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถ้าเอาภาษาตระกูลไต คำว่า ไต หรือว่า ไท ตามสำนวนนี้ แปลความได้ ๒ อย่าง อย่างแรกคำว่า ไท ที่พวกเราคุ้นเคยก็คือความเป็นอิสระ อย่างที่สอง คำว่า ไท แปลว่า คน อย่างเช่นว่าถ้าเราไปยูนนาน ไปคุยกับชาวจ้วง เขาจะถามว่า "เจ้าเป็นไทบ้านได๋ ?" ก็คือคุณเป็นคนบ้านไหน ? ถ้าหากว่าเป็นที่วัดนี่ ก็ต้องบอกว่า "ไทท่าขนุน" ก็คือเป็นคนบ้านท่าขนุน

ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ? คำถามว่า "เจ้าเป็นไทบ้านไหน ?" หรือ "เจ้าเป็นไทหรือเปล่า ?" เขาไม่ได้ถามว่า "เราเป็นทาสหรือเปล่า ?" แต่เขาถามว่า "เราเป็นคนหรือเปล่า ?" เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนด้วยสภาพจิตของคนที่กิเลสยังเบาบางอยู่ ทำให้มีความเป็นทิพย์เป็นปกติ ก็เลยเห็นผีเห็นเทวดาเป็นปกติ แล้วท้ายที่สุดก็โดนผีหลอกโดนเทวดาต้มกันให้เปื่อย จึงต้องถามก่อนว่า "เป็นคนหรือเปล่า ?"

ภาษาตระกูลไต ถ้าหากว่านับแล้วก็มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปตั้งแต่เชิงเขาหิมาลัยลงมา ทางด้านประเทศจีนก็ไล่ตั้งแต่ทางด้านมองโกเลียลงมา เพียงแต่ว่าพอห่างกันไปแล้ว บางทีก็ฟังกันไม่รู้เรื่อง ภาษาตระกูลไตที่ใกล้เคียงกับเรามากส่วนใหญ่ก็จะเป็นไทไต้คง, ไทขึนที่เราเรียกว่าไทเขิน, ไทลื้อ

พี่น้องไทยอีสานน่าสงสารมาก ไปกรุงเทพฯ พวกก็เรียกว่า "ไอ้ลาว" พอข้ามโขงไปฝั่งลาวเขาก็เรียก "ไอ้ไทย" ตกลงสำหรับพี่น้องอีสาน "กูเป็นชาติไหนกันแน่วะ!?"

เมื่อครั้งที่ไปลาวไม่กี่วัน อาตมาก็ต้องไปแปลภาษาลาวเป็นไทยให้คนอื่นที่ไปด้วยกันฟัง เพราะว่าคนไทยไม่เคยชิน ฟังไม่รู้เรื่อง อย่างพวกเราใช้ "ครับ" ใช้ "ค่ะ" ส่วนทางลาวจะหญิงหรือจะชายเขาใช้ "โดย" "โดยข้อยน่อย" แล้วคนลาวจะออกเสียงตัว ด.เด็ก กับ ล.ลิง กลับข้างกัน ทำให้เราฟังเสียง ล.ลิง เป็น ด.เด็ก ออกจะงง ๆ อยู่เหมือนกัน

หลายอย่างบ้านเขาเรียกอย่างหนึ่ง บ้านเราเรียกอีกอย่างหนึ่ง พอขึ้นรถทัวร์พวกไกด์เขาก็แจก "ผ้าอนามัย" ให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย คนไทยได้ยินก็สะดุ้งโหยง ผ้าอนามัยของเขาคือผ้าเย็น ถ้าเป็นผู้ชายไปอยู่ประเทศลาวจะโชคดีที่มีโอกาสใช้ผ้าอนามัย อยู่ประเทศไทยไม่มีโอกาสได้ใช้หรอก..!

เดี๋ยวพวกเราบวชเนกขัมมะกันเรียบร้อยแล้ว จะได้เข้าสู่การทำบุญวันมาฆบูชาของเรา
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:28
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 26 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 02-03-2024, 22:50
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงเช้า วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗


เป็นอย่างไร พร้อมใช่ไหม ? ไหนบอกว่าพร้อม ทำไมที่นั่งยังแหว่งอยู่ตั้งเยอะ ? ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งของพวกเรา กำลังใจไม่ได้ยึดมั่นอยู่กับการปฏิบัติ ก็แปลว่าเอาดีได้ยาก ถ้าหากยึดมั่นอยู่กับการปฏิบัติธรรม ก็จะไม่ไปเพลิดเพลินอยู่กับเรื่องโน้นเรื่องนี้ แต่จะจดจ่ออยู่กับงานตรงหน้า คือการชำระ กาย วาจา ใจ ของตนให้สะอาด

หลายท่านอาจจะคิดว่าตัวเราไม่ใช่คนอย่างนั้น เพียงแต่ทำอะไรเร็วหน่อยแล้วมาตรงเวลา ความจริงก็คือเป็นคนอย่างนั้นแหละ เพียงแต่ว่าเป็นจนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเราไปแล้ว เราจึงแยกไม่ออกเอง

ทำไมบุคคลประเภทหนึ่งถึงมาก่อนทุกครั้ง หรือมาทันทุกครั้ง ? ขณะที่อีกประเภทหนึ่งทั้งเตะทั้งถีบยังมาไม่ถึงสักที..! ก็เพราะว่ากำลังใจที่จดจ่ออยู่กับงานตรงหน้านั้นต่างกัน ความจดจ่อมุ่งมั่นตัวนี้คือ จิตตะ หลักธรรมสำคัญในอิทธิบาท ซึ่งคือพื้นฐานที่จะสร้างให้เกิดความสำเร็จกับเราในทุกด้าน

บุคคลที่รักในการปฏิบัติธรรมมีแต่กลัวว่าเวลาจะมีน้อยเกินไป ส่วนที่เหลือกลัวแต่ว่าเวลาจะมากเกินไป ก็เลยพยายามอู้ มาให้ช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้ แล้วก็มีเยอะมาก ประมาณว่า ถ้าหลบถ้าอู้พอสู้ได้..ไม่หลบไม่อู้สู้ไม่ไหว แล้วมึงจะมาทำไมวะ..?! อยู่บ้านไม่สบายกว่าหรือ..?

เรื่องเหล่านี้ต้องบอกว่า
ใครทำใครได้ ทำแทนกันไม่ได้ด้วย ดังนั้นถ้าหากว่ากำลังใจของเรายังขาดการจดจ่อมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่ทำ ไม่ว่าจะเป็นการงานทางโลก หรือว่าการงานทางธรรมก็ตาม ก็ต้องถือว่ากำลังใจของเรายังไม่ควรแก่การสำเร็จ ถ้าภาษาบาลีท่านใช้คำว่า "ไม่ควรแก่งาน" งานที่ต้องการความเด็ดขาดประมาณตัดเหล็กเลย แต่เราไม่มีความเด็ดขาดแบบนั้นก็แปลว่าตัดเท่าไรก็ไม่ขาด..!

หลายคนคิดจะตัดจะละครอบครัวและคนรอบข้าง แต่ท้ายที่สุดก็ตัดไม่ได้ หลายคนคิดว่าจะตัดข้าวของที่รัก สมบัติที่รัก ชิ้นนั้นชิ้นนี้บ้าง ท้ายที่สุดก็จะเห็นว่าเราตัดไม่ได้ ในเมื่อตัดไม่ได้ก็แปลว่าเครื่องถ่วงนั้นมีอยู่รอบตัว แล้วเราจะหลุดพ้นไปได้อย่างไร ?
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:31
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 02-03-2024, 22:56
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วันก่อนมีข่าวนักประดาน้ำจีนจมตายอยู่ในอควาเรียม จมได้อย่างไร..?! เขาบอกว่าคนเห็นยังนึกว่าเป็นหุ่นนักประดาน้ำที่เขาเอาลงไปทิ้งไว้ให้ดู ที่ไหนได้..ตายไปแล้ว..! แล้วเกี่ยวอะไรกับเราด้วย..? เกี่ยว..เกี่ยวมากด้วย เกี่ยวตรงที่ว่าแม้แต่นักประดาน้ำยังจมน้ำตายเลย ผู้ปฏิบัติธรรมของเราเขาบอกว่า ต้องหาพาหนะข้ามห้วงน้ำคือกิเลสนี้ไปให้ได้ ภาษาบาลีท่านใช้คำว่า อวิชชโยคะ ห้วงน้ำคือความไม่รู้ ทำให้เราเวียนว่ายทุกข์ยากอยู่นับกัปนับกัลป์ไม่ถ้วน

ขนาดนักประดาน้ำยังจมตายเลย ถ้าหากว่าเราไม่คิดจะตั้งหน้าตั้งตาว่าย ไม่คิดจะตั้งหน้าตั้งตาดำ แล้วจะถึงจุดหมายปลายทางไหม ? ก็แปลว่าไม่ได้คู่ควรกับเป้าหมายนั้นเลย "วันนี้หลวงพ่อฉันยาผิด มานั่งด่าพวกเรา" ไม่ได้ด่า..แค่บอกความจริงให้รู้เท่านั้น

หลายต่อหลายคนปฏิบัติธรรมมาหลายปีถึงหลายสิบปี ยังเอาดีไม่ได้สักที มีอยู่แค่สองอย่างที่เป็นเช่นนั้นได้ อย่างแรกก็คือทำเกิน เกินพอดี ในโลกยุคปัจจุบันนี้ยังไม่เคยเจอ อย่างที่สองก็คือทำขาด ขาดเยอะด้วย..! กลัวเวลาจะมากไป ต้องอู้หน่อย กำลังไล่ต้อนกิเลสจะจนมุมแล้ว กิเลสบอกให้ไปห้องน้ำหน่อย..เราก็รีบไป ตกลงแล้วเชื่อกิเลสไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้า..! เดินจงกรมภาวนาอย่างเก่งก็ ๒ ชั่วโมง ไปห้องน้ำเสีย ๘ ครั้ง..! จะไปทำอะไร ? คิดถึงโถส้วมขนาดนั้นเลยหรือ ?

นักปฏิบัติธรรมที่ดีต้องใช้ทุกวินาทีให้เป็นประโยชน์กับการปฏิบัติธรรม มีแต่กลัวว่าเวลาจะไม่พอ เราอาจจะตายเสียก่อนที่จะไปถึงจุดหมายปลายทางของตน ไม่ใช่แวะชมดอกไม้ข้างทางไปเรื่อยเปื่อยแบบนี้

เดี๋ยวพรุ่งนี้เราก็จะปิดโครงการบวชเนกขัมมะครั้งนี้แล้ว มีใครลงไปชักดิ้นชักงอว่าปฏิบัติธรรมยังไม่พอ ขอต่ออีกวันหนึ่ง มีไหม ? ไม่มีหรอก..ถ้ากลับวันนี้ได้ก็ไปแล้ว..! บางคนเก็บกระเป๋าเสร็จแล้วด้วย เหลือพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน..ใจเย็น ๆ ก่อน
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:34
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 22 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #5  
เก่า 02-03-2024, 22:59
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

บางคนเขาบอกว่า "ขาไปเหมือนไก่จะบิน ทำไมตอนมาเหมือนห่าจะกิน ?" ก็เพราะว่าการปฏิบัติของเราได้ผล ได้ผลอย่างไรวะ ? จะไปกันหมดแล้ว..! ได้ผลตรงที่ว่า เราทรมานกิเลส จนกิเลสรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว

แล้วคราวนี้กิเลสอยู่กับเรา กิเลสก็เลยบอกว่า "เรานี่แหละไม่ไหวแล้ว พอเถอะ..อู้สักหน่อยก็ยังดี ไปห้องน้ำสักนิดก็ได้" คราวนี้ปัญญาเราไม่ถึง กลายเป็นว่าในขณะที่เราได้เปรียบคู่ต่อสู้ที่สุด ก็โดนเขาหลอกให้ปล่อยมือ แทนที่จะตีให้ตายไปเลย ดันไปปล่อยได้ทุกครั้ง..!

กิเลสอาศัยความรักตัวกลัวตายของเรานี่แหละ คอยบอกว่า "ไม่ไหวแล้ว ต่ออีกนิดเดียวตายแน่นอน" ที่ตายแน่..กิเลสตายนะ ไม่ใช่เรา นักปฏิบัติธรรมต้องก้าวข้ามความกลัวตายไปเลย หลวงปู่หลวงพ่อสายวัดป่าท่านบอกว่า
"ธรรมะอยู่ฟากตาย" อยู่ทางโน้น ไม่ตายไปไม่ถึงหรอก ก็คือต้องสู้กันอย่างเอาชีวิตเข้าแลก ตายเป็นตาย..!

ต้นตำรับหลวงพ่อพาหิยะ (พระพาหิยทารุจิริยะ) พระพุทธเจ้าตั้งให้เป็นเอตทัคคะคือผู้เป็นเลิศในการบรรลุเร็ว พระพุทธเจ้าเทศน์สั้น ๆ แค่ว่า "พาหิยะ ..เธอจงอย่าสนใจในรูป" เท่านั้นแหละบรรลุเลย..!

ทุกคนตื่นเต้นกันใหญ่ อยากจะเป็นอย่างท่านบ้าง คุณเอ๋ย..มองย้อนหลังไปนี่ ไม่อยากเป็นหรอก ก่อนจะมาถึงชาตินี้ท่านยังอดตายเลย..! ทำบันไดปีนขึ้นไปบนถ้ำสูง ๆ แล้วก็ถีบบันไดทิ้งไป กะว่าถ้าปฏิบัติแล้วไม่บรรลุมรรคไม่บรรลุผล ไม่สามารถจะเหาะไปหาอาหารได้ ก็ยอมอดตาย..แล้วก็ตายจริง ๆ..! ที่บอกว่าบรรลุเร็วนั่นถึงขนาดอดตายมาแล้ว..!

พวกเราเองก็ไปกลัวตาย จึงโดนกิเลสหลอกทุกครั้ง น่าสงสารมาก กิเลสหลอกอะไรก็เชื่อไปหมดเลย เขาส่งแอพฯ มาบอกว่ากรุณากดรับหน่อย มีเงินดิจิตอล ๑๐,๐๐๐ บาทเข้ามา เราต้องกดรับรอง เขาถึงจะจ่ายให้ เราก็กด..หมื่นบาทนั่นไม่รู้จะมาหรือเปล่า แต่ที่มีของเราไปหมดแล้ว..เชื่อง่ายดีจัง..!

ของอาตมานี่เขาโทรมาบอกว่า "ท่านทำธุรกรรมกับธนาคารกสิกรไทย ตอนนี้เกี่ยวโยงกับแก๊งค์ฟอกเงิน" อาตมาตอบว่า "อีหนู..จะหลอกกันกรุณาเนียนกว่านี้หน่อย กูไม่เคยมีบัญชีกสิกรไทย จะไปทำธุรกรรมได้อย่างไร..!"
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:39
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #6  
เก่า 03-03-2024, 19:44
พิชวัฒน์'s Avatar
พิชวัฒน์ พิชวัฒน์ is offline
สมาชิก - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Aug 2014
ข้อความ: 421
ได้ให้อนุโมทนา: 3,307
ได้รับอนุโมทนา 21,847 ครั้ง ใน 902 โพสต์
พิชวัฒน์ is on a distinguished road
Default

ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันอาทิตย์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๗



การปฏิบัติธรรมต้องปฏิบัติเพราะเห็นประโยชน์ ถ้าไม่เห็นประโยชน์เราก็ไม่จะอยากทำ อาตมาเองโดนบังคับให้ปฏิบัติธรรมโดยไม่รู้ตัว พอเริ่มรู้ภาษา อายุประมาณ ๒ ขวบ พ่อก็จับพาดบ่าหลับคอพับคออ่อน สวดมนต์อยู่ทุกคืน ฟังเสียงสวดจนจำฝังเข้าไปในหัวจำได้โดยอัตโนมัติ จนกลายเป็นคนสวดมนต์ได้ตั้งแต่เด็ก

พอไปเรียนหนังสือ ครูเห็นว่าสวดมนต์ได้ เข้าชั้น ป. ๑ ก็ให้เป็นหัวหน้าชั้น
เลย โอ้..พระเจ้า อาตมาอายุ ๗ ขวบเข้าเรียน เพื่อนร่วมห้องอายุ ๑๗ - ๑๘ ปีบานเลย..! สมัยก่อนถ้าหากว่าสอบได้ไม่ถึง ๕๐% เขาปรับตก ตกแล้วตกอีกอยู่นั่นแหละ ไม่ได้ไปไหนหรอก

มีลูกชายผู้ใหญ่บ้านที่ชื่อจริงคนไม่รู้จักกันแล้ว เพราะว่าไปโรงเรียนชั้น ป. ๑ เข้าพร้อมกับอาตมานี่แหละ แหกปากร้องไห้ดังสนั่นหวั่นไหวทั้งวัน ไม่รู้ว่าเขาร้องไปทำอะไร จะร้องย้อนหลังที่บรรพบุรุษตายเมื่อหลายชาติที่แล้วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ? จนเขาเรียกกันว่า "เด็กชายร้อง" จำชื่อจริงกันไม่ได้ว่าชื่อ "สมชาย"

อาตมาเรียนอยู่ชั้น ป. ๑ พร้อมกับไอ้ร้อง, อาตมาอยู่ ป. ๒ ไอ้ร้องอยู่ ป. ๑, อาตมาอยู่ ป. ๓ ไอ้ร้องอยู่ ป. ๑, อาตมาอยู่ ป. ๔ ไอ้ร้องอยู่ ป. ๑, อาตมาอยู่ ป. ๕ ไอ้รองอยู่ ป. ๑, อาตมาขึ้น ป. ๖ ไอ้ร้องออกจากโรงเรียน..! เขาอาย..เขาเริ่มเป็นหนุ่มแล้ว

เพราะฉะนั้น..ตอนนั้นก็เลยกลายเป็นหัวหน้าแก๊งค์เด็กโต ความจริงแล้วเด็กโตเขาก็อยากรังแกเหมือนกัน แต่อาตมาเรียนเก่งแล้วก็เต็มใจที่จะช่วยพวกเขาทำการบ้าน เขาก็เลยไม่กล้าหือ ไม่อย่างนั้น "เอ็งทำเองก็แล้วกัน ให้ครูตีให้เข็ด..!" กลายเป็นเด็กเรียนเก่งเพราะว่าสวดมนต์ก่อนนอนทุกวัน

ไม่รู้หรอกว่าการสวดมนต์แค่นั้นเองเป็นการสร้างสมาธิ แล้วตอนนั้นก็ไม่รู้ด้วยว่าการที่เราหลับแล้วได้ยินเสียงนั้น คือสมาธิระดับสูงมากเลย จนกลายเป็นว่าเห็นประโยชน์ในเรื่องพวกนี้ แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติไปเรื่อย

พอดียุคนั้นสมัยนั้นรอบ ๆ บ้านมีแต่พระเกจิอาจารย์โด่งดังคับฟ้าทั้งนั้นเลย เสาหลักยุคนั้นเลยก็หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว สองรูปนี้ชื่อเสียงดังเบียดกันมาชนิดหายใจรดต้นคอเลย แล้วก็ยังมีหลวงพ่อเต๋ วัดสามง่าม หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา โอ้..พระเจ้า เอ่ยขึ้นมารูปเดียวก็พอแล้ว แต่นี่กลายเป็นว่าพระเกจิอาจารย์ตกคลั่กอยู่รอบบ้านเลย นี่ทางด้านนครปฐมนะ

พอออกมาทางด้านสุพรรณบุรีบ้านแม่ก็มีหลวงพ่อแดง วัดทุ่งคอก ท่านมีฉายา "แดงไม้ใหญ่" ถึงเวลาไปตัดไม้เพื่อที่จะสร้างวัดสร้างศาลาอะไร ท่านจะตัดได้ต้นใหญ่กว่าคนอื่นเป็นเท่า ๆ ตัว สมัยก่อนเขาใช้เกวียนเข้าไปขนไม้กัน แล้วคราวนี้วัวเทียมเกวียนส่วนใหญ่มักจะรับน้ำหนักได้น้อย เขาก็ได้แต่เอาต้นไม้เล็กออกมา

หลวงพ่อแดงท่านทำอีท่าไหนไม่รู้ ? ท่านเอาควายเทียมเกวียนได้ ซึ่งปกติไม่มีใครเขาทำกันได้เพราะว่าควายมักดื้อ ไม่ชอบลากเกวียน เอาควายเทียมเกวียนได้ก็เลยกลายเป็นว่า ท่านลากต้นไม้
ได้ใหญ่กว่าคนอื่นหลายเท่า เพราะว่าควายแข็งแรงกว่าวัวมาก

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย พิชวัฒน์ : 28-07-2024 เมื่อ 16:21
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 23 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ พิชวัฒน์ ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #7  
เก่า 04-03-2024, 01:13
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

วัวสมัยนั้นน้ำหนักอย่างเก่งก็ ๕๐๐ - ๖๐๐ กิโลกรัม ส่วนใหญ่จะอยู่ระดับ ๒๐๐ กว่ากิโลกรัมเท่านั้น ที่เลี้ยงถึงจริง ๆ ก็น่าจะ ๕๐๐ - ๖๐๐ กิโลกรัม แต่ควายสมัยนั้นน้ำหนักเป็นตัน..! สมัยนี้เริ่มกลับมามีใหม่แล้ว ที่เขาเลี้ยง "ควายงาม" กัน จำได้ไหม ? ที่ตัวหนึ่งราคา ๒๐ - ๓๐ ล้านบาทนั่นแหละ จนกระทั่งมีบางคนบ่นว่า "รู้อย่างนี้กูฝืนคำพ่อก็ดี พ่อบอกว่าถ้าไม่เรียนหนังสือจะส่งไปเลี้ยงควาย" สมัยนี้เลี้ยงควายหนึ่งตัวอย่างกับถูกรางวัลที่หนึ่งตั้งหลายใบ..!

หลวงพ่อแดงท่านน่าจะมีคาถาดี ประเภทผูกจิตได้ ควายยอมทำตามทุกอย่างเลย โดยเฉพาะควายเวลาเข้าป่าแล้วไม่กลัวเสือ ไม่เหมือนวัว วัวได้กลิ่นเสือเท่านั้นแหละ..ยืนตัวแข็งทื่อ..ก้าวขาไม่ออก คนเฒ่าคนแก่เขาสอนว่า "
เข้าป่าให้เอามะนาวไปด้วย" พอถึงเวลาวัวได้กลิ่นเสือ วัวจะกลัวไม่กล้าเดิน ให้เอามะนาวบีบใส่จมูก วัวไม่ได้กลิ่นเสือก็จะไปต่อ เพราะว่าได้กลิ่นเปลือกมะนาวแทน

ถัดมาก็หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ ดังคับฟ้าสุพรรณบุรี เพราะว่าเป็นลูกศิษย์สายหลวงปู่อิ่ม วัดหัวเขา ออกมาทางกาญจนบุรีนี่ก็หลวงพ่อลำใย วัดทุ่งลาดหญ้า สังคมรอบข้างอาตมามีแต่อย่างนั้น

หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านสอนให้ภาวนา ที่สอนพวกเราอยู่ทุกเช้านั่นแหละ "นึกถึงภาพพระไว้นะ หายใจให้ไหลลงไปถึงสะดือเลย ภาพพระองค์เล็ก ๆ ไปอยู่ในนั้น หายใจออกให้เลื่อนขึ้นมา" นี่..ครูบาอาจารย์สอนอาตมาตั้งแต่ระดับยังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่เลย..!

สมัยนั้นหนุ่ม ๆ สาว ๆ โตช้า อาตมาอายุ ๑๒ - ๑๓ ปียังแก้ผ้าโดดน้ำอยู่กับเพื่อนผู้หญิงอยู่เลย เพราะว่าสมัยนั้นไม่มีข้าวปลาอาหารอะไรดี ๆ บางปีก็อดแทบตาย..ข้าวไม่พอกิน ต้องไปขุดหัวเผือกหัวมันมากิน สมัยนี้มีแต่สารพัดอาหารบำรุง เด็กหนุ่มเด็กสาวจึงโตกันเร็วมาก

สองวันก่อนอ่านข่าวประเทศจีน เด็กผู้หญิงอายุ ๙ ขวบมีรอบเดือนแล้ว หมอเขาตกใจมากก็เลยจับตรวจร่างกาย ปรากฏว่าเด็กโตเกินอายุไปหลายปี ไล่ซักประวัติเสร็จสรรพเรียบร้อย ฝีมือคุณยายจ้ะ ยายกลัวหลานจะไม่แข็งแรง เอาไก่ตุ๋นโสม ตุ๋นถั่งเช่า ตุ๋นรังนก ให้กินทุกวัน บำรุงเกินขนาด เด็กผู้หญิงอายุ ๙ ขวบเลยมีรอบเดือนแล้ว ก็คือร่างกายโดนกระตุ้นเสียเต็มที่เลย
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 02:58
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 19 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #8  
เก่า 04-03-2024, 01:27
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

เด็กสมัยก่อนไม่มีอะไรกิน สมัยนี้เขามีสารพัดอาหารเสริม ไอ้โน่นก็วิตามินสูง ไอ้นี่ก็โฟเลตสูง กินกันเข้าไป พ่อแม่รักเกิน คนไหนที่บอกว่า "ไม่จำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ก็ได้" ถ้าท่านไม่เลี้ยงมามึงตายแน่นอน..! ไม่ได้อยู่พูดอย่างนี้หรอก..ปล่อยมันไปเถอะ..!

สมัยนั้นมีอะไร ? มีกล้วยบด มีข้าวย้ำ ใครกินข้าวย้ำบ้าง ? จำไม่ได้แล้ว แม่จะเคี้ยว ๆ ข้าวแล้วก็คายใส่ปากเรา พวกเรานึกแล้วก็แหวะ..! แต่ตอนเด็ก ๆ หิวก็ต้องกิน เสร็จแล้วก็เอากล้วยไปเผา โดยเฉพาะกล้วยหักมุก ใช้กล้วยอย่างอื่นไม่ค่อยได้ กินแล้วเดี๋ยวลูกท้องอืด เผาเสร็จแล้วก็ใช้ช้อนขูด ๆ ๆ เอาน้ำหยดลงไปหน่อยแล้วก็ใส่ปาก ถ้าถามว่า "ทำไมรู้มากแท้ ?" ก็อาตมาเลี้ยงน้องเลี้ยงหลานมาตั้ง ๓๐ กว่าคน ใช้วิธีนี้แหละ..!

สมัยก่อนพอเริ่มอายุสัก ๓ - ๔ ขวบเขาก็ยัดน้องมาให้เลี้ยงแล้ว ที่เขาบอกว่า "อุ้มน้องจนเอวเป็นหนาม" ทำไมเอวถึงเป็นหนาม ? เดี๋ยวเด็กฉี่รดเรา พอโดนฉี่รดก็คัน คันแล้วก็เกา ตุ่มขึ้นจนเอวเป็นหนาม พวกเราไม่ทันหรอก เสียดาย..อายุไม่พอ ถ้าอายุพอจะมีประสบการณ์อย่างนี้ อาตมามีพี่อยู่ ๘ คน เอาหลานมาให้เลี้ยง ๓๒ คน..! กูหนีบวชเลย..ไม่เอาแล้ว โห..เลี้ยงเข้าไปได้อย่างไร ๓๐ กว่าคน เฉลี่ยคนละ ๔ สมัยก่อนเขานิยมลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง

เอ้า..เลี้ยวกลับมาก่อน ไปไกลแล้ว กำลังพูดถึงประโยชน์ของกรรมฐาน ทำให้จำได้นาน คราวนี้ถ้าหากว่าเราเห็นประโยชน์ เราก็จะตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม อาตมาเองเป็นคนที่เห็นประโยชน์ในเรื่องนี้มาก เพราะว่าอันดับแรกเลย พอเริ่มเรียนชั้น ป. ๕ ตอนนั้น ๑๑ ขวบ เรียนชั้น ป. ๕ ต้องทำหน้าที่ดูแลพ่อทั้งกลางวันกลางคืน เพราะว่าพ่อมีอาการโรคที่โบราณเรียกว่าอัมพฤกษ์ ก็คือเคลื่อนไหวไม่สะดวก ต้องคอยนวดให้อยู่ตลอดเวลา ไม่อย่างนั้นแล้วกล้ามเนื้อจะแข็งเกร็ง ทำให้ปวดเมื่อยทรมานมาก นึกภาพเด็กที่เรียนชั้น ป. ๔ - ป. ๕ วัยกำลังกินกำลังนอน แล้วต้องไปถ่างตาดูแลพ่อทั้งคืน

ตอนนั้นไม่รู้ตัวว่ากำลังฝึกกรรมฐานหลักสูตรโหดมาก เพราะว่าต้องเรียนหนังสือด้วย พอถึงเวลากลางวันพี่สะใภ้ดูแลพ่อแทน อาตมาก็ไปเรียนหนังสือ ง่วงตาปิด ยกมือขออนุญาตครูขอนอน ครูบอกว่า "เธอนอนได้ แต่วิชานี้ห้ามตก" ใจดีมากเลย..!

คราวนี้วิชานี้ห้ามตกก็ทำอย่างไร ก็ต้องใช้วิธีว่า "ทำอย่างไรเรานอนอยู่แล้วหูต้องได้ยิน" เพราะว่าถ้าได้ยินจะจำได้ นั่นแหละ..วิธีฝึกกรรมฐานเลย ทรงจิตอย่างไรให้หลับกับตื่นแล้วรู้เท่ากัน ไม่นึกว่าตัวเองจะเจอหลักสูตรโหดมาตั้งแต่เด็กขนาดนั้น มารู้ทีหลังตอนที่ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติกรรมฐานอย่างจริง ๆ จัง ๆ แล้วนั่นแหละถึงได้รู้ อ๋อ..ของพวกนี้เราทำได้หมดแล้ว เพราะว่าเห็นประโยชน์ตรงนี้เอง
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 03:04
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #9  
เก่า 04-03-2024, 02:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ครูสมัยก่อนรู้สภาพครอบครัวของลูกศิษย์ทุกคน ทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องไปเยี่ยมบ้านหรอก เพราะว่าโดยปกติแล้วถ้าหากว่าเป็นวันหยุด ตอนช่วงอาตมาเรียน ป. ๑ - ป. ๒ โรงเรียนหยุดวันโกนวันพระ ไปวัดก็เจอครูอยู่ทุกครั้ง แล้วพอเขาเลิกหยุดวันโกนวันพระ มาเป็นหยุดเสาร์อาทิตย์ ครูเขาก็ขี่จักรยานไปคอยดูลูกศิษย์ หมู่บ้านก็ไม่ใช่เล็ก ๆ นะ กว่าที่จะขี่จักรยานครบรอบว่าลูกศิษย์กี่คนอยู่บ้านไหนบ้างนี่ สะสมไมล์ได้หลายสิบกิโลเมตร..!

ครูสมัยก่อนท่านดีจริง ๆ แล้วก็เป็นที่เคารพนับถือ เป็นที่ต้อนรับมาก ไปถึงบ้านไหนเขาก็เรียกกินข้าวเรียกกินน้ำ เพราะฉะนั้น..ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงหรอก มีกินแน่นอน ครูเขาตามไปถึงบ้าน เขาก็เลยรู้ว่าสภาพแต่ละคนครอบครัวนั้นเป็นอย่างไร

ในเมื่อครูเห็นว่าอาตมาต้องคอยดูแลพ่ออยู่ตลอด ถึงเวลาอดตาหลับขับตานอน ไปโรงเรียนครูเขาเลยยอมให้นอน ไม่รู้ว่านอนอย่างไรยังเรียนได้ที่ ๑ อยู่เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่นอนเรียน ก็ใช้วิธีนี้แหละ ก็คือทำอย่างไรที่นอนอยู่แล้วให้หูเราจะต้องได้ยิน ? พวกเราแรก ๆ ฝึกนี่ต้องเอาใจจดจ่ออยู่กับลมหายใจเข้าออก อย่าหลุดนะ..หลุดเมื่อไรหลับทันทีเลย..!

สติเราเหมือนอย่างกับไฟ ตอนแรกก็เปลวสูงเชียว แล้วจะค่อย ๆ หรี่ลง หรี่ลง หรี่ลง หรี่ลง ปึ๊ก..อีกนิดเดียวหลับ ล็อคไว้ตรงนั้นแหละ..อย่าให้เกินนั้น ถ้าเกินนั้นจะหลับ ตอนช่วงนั้นนี่ถ้าหากว่าคนสติดี ๆ จะจับได้ รู้สึกเหมือนในสมองของเรามีเสียงลั่น "วิ้ง" ถึงตรงนั้นแล้ว ล็อคเอาไว้อย่าให้เกิน แล้วหลับกลับตื่นเราจะรู้เท่ากัน ถ้าลักษณะนั้นสติเราจะสมบูรณ์พร้อม รัก โลภ โกรธ หลง จะกินเราไม่ได้

พวกเราส่วนใหญ่ทำได้แต่ตอนกลางวัน อาตมาสมัยบวชอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ ๆ เพื่อนพระหลายรูปเลยกลางวันเคร่งครัดมาก ประเภทมดสักตัวก็ไม่กล้าเหยียบ อย่างท่านฉัตรชัย ถึงเวลาก็ขับรถอีแต๋นไปทำงาน เลี้ยวเข้าประตูหน้าโบสถ์ มาถึงก็หักควับเข้าหากลุ่มโยมเป็นสิบ เผ่นกันกระเจิงคนละทิศคนละทาง..! ดับเครื่องเสร็จคว้าไม้กวาดบนรถลงไปกวาด ๆ ๆ ถนนเป็นการใหญ่ อาตมาก็ตามไปดูว่าทำอะไร เห็นมดเดินผ่านมาเป็นทางเลย ท่านกลัวจะทับมดตาย แต่ไม่กลัวทับคน เลี้ยวเข้าหาคนเฉยเลย..! หักหลบมด ขอลงไปกวาดออกก่อน คนจะตายก็ช่างมัน..!

คราวนี้พอเคร่งครัดตอนกลางวัน กลางคืนเสร็จ..! หลับแล้วขาดสติ กิเลสกินเราตอนนั้นแหละ อาตมานี่ใหม่ ๆ ประจำเลย กลางวันเดินย่องเชียว ระมัดระวัง มดก็ไม่กล้าเหยียบ กลางคืนฝันฆ่าเขาเป็นกองทัพเลย..! บางทีเล่นซะหมดกองไม่เหลือสักคน..!

นั่นคือลักษณะที่กิเลสกินใจเราตอนหลับ รัก โลภ โกรธ หลง เจริญขึ้นมา บางคนกลางวันนี่ประเภทก้มหน้าก้มตายิ่งกว่าพระอีก สายตาสาวยังไม่กล้าสบด้วย ปรากฏว่ากลางคืนหลับ ฝันไล่ปล้ำลูกสาวชาวบ้านเขาไปแล้ว..!
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 03:09
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #10  
เก่า 04-03-2024, 02:21
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,541 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

นั่นแหละคือลักษณะของการที่ตอนเรามีสติเราคุมได้ แต่พอสติขาดเมื่อไรกิเลสกินเราทันที เพราะฉะนั้น..ทุกวันที่เราปฏิบัติมานั้น ไม่พอไปสู้กับกิเลส ต่อให้เราทำตลอดกลางวันก็แค่ ๑๒ ชั่วโมง ๖ โมงเช้ายัน ๖ โมงเย็น แล้วช่วง ๖ โมงเย็นยัน ๖ โมงเช้านี้กิเลสเอาคืนหมด จึงหาความก้าวหน้าไม่ได้ จำเป็นที่เราจะต้องปฏิบัติให้สติของเราสมบูรณ์ หลับกับตื่นต้องรู้เท่ากัน ถ้าถึงตรงนั้นก็พอที่จะเอาชนะกิเลสได้บ้าง

แต่พวกเราถ้าใหม่ ๆ เข้าถึงนี่คลั่งเลย คิดว่า "ทำไมวันนี้กูไม่หลับวะ ?!" พยายามให้หลับยิ่งไม่หลับใหญ่เลย ความจริงถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เรานอนอยู่ ไม่หลับก็ช่างเถอะ..ภาวนาพระคาถาเงินล้านดูว่าจะได้สักล้านจบไหม ? ไม่มีทางหรอกแค่ ๑๐๘ จบก็ล่อไป ๒ ชั่วโมงแล้ว เรานอน ๖ ชั่วโมง อย่างเก่งก็ได้แค่ ๓๐๐ กว่าจบ ถ้าตั้งใจว่าไม่หลับแหละดี จะภาวนาให้เยอะเลย มักจะตัดปุ๊บหลับเลย..! เขากลัวเราได้ดี กิเลสนี้เก่ง อย่างพวกเรานี่หรือ ? ปลายหางยังไล่ไม่ทันเลย..!

ต้องพยายามสังเกตอารมณ์ตัวเอง วิธีที่สมัยก่อนอาตมภาพทำแล้วได้ผลที่สุดก็คือ ตั้งใจฟังเสียงธรรมของหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง สมัยนั้นเป็นเทป เปิดฟัง ตั้งใจว่าต้องได้ยินทุกคำ เงี่ยหูจดจ่อสติอยู่ตรงที่คำสอนของท่าน จะไม่หลับเพราะว่าจิตมีงานทำ พอนาน ๆ เราจะเคยชิน แล้วจับอารมณ์ตรงนั้นไว้ได้

มาวันหนึ่ง ฟังไป..ฟังไป "ทำไมวันนี้หลวงพ่อเทศน์ยาวแท้วะ ?" ปกติก็ ๓๐ นาที..ใช่ไหม ? ไม่เป็นไร..ยาวก็ยาว ฟังไปเรื่อย ๆ "เฮ้ย..ทำไมไม่จบสักทีวะ ? วันนี้นานมากเลย..!" ลืมตาขึ้นมา เสียงวับหายไปตอนไหนไม่รู้ ? หันไปดูเครื่องเล่นเทป เด้งไปตั้งแต่ชั่วโมงที่แล้ว ที่ได้ยินตลอดคือเสียงอะไร ? ก็เป็นอรรถเป็นธรรมเป็นหลักการปฏิบัติทั้งนั้นเลย เหมือนกับท่านนั่งพูดให้เราฟัง ตอนนั้นคิดว่าผีหลอกทั้ง ๆ ที่ตื่น เสียงธรรมมีอยู่แค่ ๓๐ นาที ฟังไปได้อย่างไร ๒ - ๓ ชั่วโมง ดีเหมือนกันนะ..!

ใครจะลองดูก็ได้ สมัยนี้น่าจะเป็นพวกซีดีหรือไม่ก็กลายเป็นไฟล์ไปแล้วมั้ง ? อาตมาเองสมัยก่อนซื้อทีหนึ่ง ๑๕๐ ม้วน ฟังทุกม้วน ฟังจบเริ่มต้นใหม่ ฟังจบเริ่มต้นใหม่ ล้างหัวเทปกันนับครั้งไม่ถ้วน พวกเรารุ่นนี้ไม่รู้จักหรอกว่าล้างหัวเทปเป็นอย่างไร ? ฟังจนเทปยืด "ทำอย่างไรวะ ? ต้องเสียเงินอีกแล้วหรือ ? ม้วนหนึ่งตั้ง ๒๕ บาท..!" มีคนแนะนำให้เอาไปแช่ตู้เย็น เอาไปลองแช่ดู เออ..แช่ตู้เย็นแล้วที่ยืดหดกลับมาได้ เพราะว่าโดนความเย็น

เริ่มฟังได้ใหม่ แต่ได้ไม่กี่ครั้งก็ยืดอีกแล้ว ท้ายที่สุดแช่ตู้เย็นจนกระทั่งไม่รู้ว่าจะแช่อย่างไรก็ใช้การไม่ได้ ก็ต้องตัดใจทิ้ง กราบขอขมาพระแล้วก็เผาไปเลย เพราะว่ามีรูปหลวงพ่อท่านด้วย เอาไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ก็จะไม่ดี แต่ใช้ประโยชน์ต่อก็ไม่ได้ ความจริงถ้าเก็บเอาไว้ สมัยนี้เอามาขายพวกเราได้ เป็นของเก่า..ใช่ไหม ?

เพราะฉะนั้น..ลองไปทำดู วิธีแบบนี้ใช้ได้ ทำอย่างไรเราจะได้ยินคำสอนทุกคำโดยที่ไม่หลับก่อน พอสติสมบูรณ์ หลับกับตื่นรู้เท่ากัน บางทีตัวเองกรนยังได้ยินเสียงเลย "เฮ้ย..นี่เรากรนอยู่นี่หว่า ? แล้วไหนบอกว่าเอ็งไม่ได้หลับ..!" หลับไปแล้ว ร่างกายนอนอยู่ แต่สติตื่น ใหม่ ๆ เราก็จะไปคิดว่าไม่หลับ แล้วก็ไปนั่งเครียดอยู่กับมัน ไม่ได้สังเกตว่าถ้าไม่หลับ แล้วทำไมเราไปทำงานทำการได้โดยที่ไม่เหนื่อยไม่เพลียเลย

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
ปกิณกธรรมช่วงบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม วันมาฆบูชา ๒๕๖๗ ณ วัดท่าขนุน
วันเสาร์ที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗ - วันจันทร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๗
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย ทะเล และ นาทาม)

__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 05-03-2024 เมื่อ 03:16
ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
สมาชิก 20 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
ตอบ


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 06:27



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว