กระดานสนทนาวัดท่าขนุน


กลับไป   กระดานสนทนาวัดท่าขนุน > ห้องธรรมะพระอาจารย์ > พระครูวิลาศกาญจนธรรม (หลวงพ่อเล็ก สุธมฺมปญฺโญ) > ปกิณกธรรมจากเกาะพระฤๅษี

Notices

กระทู้ถูกปิด
 
คำสั่งเพิ่มเติม
  #1  
เก่า 01-04-2012, 08:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default วันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐

อบรมพระที่เกาะพระฤๅษี ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๐

ผมกลับมาค้างคืนแล้วก็ต้องไปต่อ ร่างกายนี่ก็แปลก เวลาเหนื่อยมาก ๆ แทนที่จะหลับได้ กลับไม่ค่อยจะหลับ ตื่นขึ้นมาตอนตีสอง เห็นแม่ชีเดินจงกรมกันอยู่ ก็ดีใจว่าพวกเรารู้จักขวนขวายหาความดีใส่ตัวกัน แต่ว่าให้ระมัดระวังเอาไว้สองจุด

จุดแรกก็คือว่า การเดินจงกรมนั้น เขาเอาสติกำหนดรู้ไว้เฉพาะหน้า รู้อาการเคลื่อนไหว หรือถ้าหากว่าใครสามารถทรงฌานสมาบัติได้คล่อง จะสามารถกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไปพร้อมกันด้วยก็ได้ แต่ถ้าเราเดินแล้วไปฟุ้งซ่านคิดถึงเรื่องอื่นอยู่ ก็เท่ากับได้เดินเท่านั้น

แต่ถ้าเราสามารถหยุดจิตอยู่เฉพาะหน้าได้ สติ สมาธิ อยู่ตรงหน้า รับรู้อาการเคลื่อนไหวทุกอย่างของร่างกาย สัมผัสต่าง ๆ จะชัดเจนขึ้นไปเรื่อย ชัดถึงขนาดที่ว่า เวลาลมพัดมากระทบร่างกายของเราแล้ว เส้นขนไหวกี่เส้นก็ยังรู้ได้

บางทีเดินเหยียบทรายเข้าเม็ดหนึ่ง จะรู้สึกว่าใหญ่อย่างกับก้อนกรวดเม็ดโต ๆ คือถ้าจิตละเอียด สัมผัสจะชัดขึ้น แต่ถ้าความรู้สึกไม่ได้อยู่ตรงนี้ ก็แปลว่าเราเหนื่อยฟรี

อีกจุดหนึ่งก็คือว่า กำลังของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน ใครสมาธิสูงจะไม่รับรู้อาการเหน็ดเหนื่อยของร่างกาย ไปของตัวเองได้เรื่อย ข้ามวันข้ามคืนก็ไปได้ ถ้าหากว่าสมาธิต่ำหน่อยเดี๋ยวเดียวก็แย่แล้ว ถ้ายิ่งสมาธิคลายตัวออกมานี่ เหนื่อยแทบลมจะจับเลย

ฉะนั้น..ต้องระวังให้ดี เพราะในอุปกิเลส*นั้นมีอยู่ตัวหนึ่ง ที่เรียกว่า “ปัคคาหะ”** คือ ความเพียรมากเกินไป ถ้าร่างกายพักผ่อนไม่พอ จะทำให้จิตใจฟุ้งซ่าน ถ้าหากว่ามากขึ้น ๆ ก็จะสะสมตัวกลายเป็นความเครียด แล้วจะเกิดอาการสติแตก กรรมฐานแตก อะไรพวกนั้น

ในเมื่อกำลังของแต่ละคนไม่เท่ากัน มาตรฐานของการวัดก็ไม่มี ขึ้นอยู่กับกำลังกาย กำลังสมาธิ ของแต่ละคน เพราะฉะนั้น..ให้ดูเรื่องของการพักผ่อนไว้ด้วย นอนสี่ทุ่มตื่นตีสองนี่ก็ถือว่าหนักแล้ว ถ้าใครรู้สึกว่าไม่ไหวก็ผ่อนลงนิดหนึ่ง ถ้าหากว่าใครไหวจะเพิ่มมากขึ้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเรื่องการพักผ่อนต้องมี ไม่อย่างนั้นแล้วผลเสียจะเกิดขึ้นทีหลัง


หมายเหตุ :
*วิสุทฺธิ. ๓/๒๖๗
**หนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส ๑๐ ได้แก่ โอภาส ญาณ ปีติ ปัสสัทธิ สุข อธิโมกข์ ปัคคาหะ อุปัฏฐาน อุเบกขา นิกันติ


__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2012 เมื่อ 02:43
สมาชิก 106 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #2  
เก่า 02-04-2012, 07:14
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ส่วนเรื่องการปฏิบัติของพระเรา ในเรื่องของนิวรณ์ ๕* โดยเฉพาะความง่วงเหงาหาวนอนนั้น ถ้าหากว่าเป็นตอนช่วงหัวค่ำ ให้ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเกิดจากความเหนื่อยความเพลียของร่างกายเรา

ถ้าร่างกายเหนื่อยมาก ๆ เพลียมาก ๆ จะดึงสมาธิของเราให้ไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่ระดับที่สูงกว่านั้นได้ ก็จะมีอาการประเภทโงกบ้าง ง่วงบ้าง เป็นปกติ แต่ถ้าหากว่าพักผ่อนมาทั้งคืนแล้ว ตอนเช้ามืดยังโงก นั่นแสดงว่าเป็นนิวรณ์แล้ว คือเป็นตัวถีนมิทธะนิวรณ์ ก็แปลว่า จริง ๆ แล้วจิตของเรากำลังจะดี คือ จะเริ่มก้าวขึ้นสู่ความเป็นฌาน แต่เกาะไม่ติดเพราะสติขาด

ในเมื่อสติขาด อาการโงกง่วงก็จะเกิดขึ้น ให้เอาใจจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าให้มากขึ้น จี้ตามลมหายใจเข้าออกให้มากขึ้น ถ้าก้าวผ่านตรงนั้นไปได้ ก็จะกลายเป็นสว่าง แล้วจะไม่ง่วงอีกเลย ลักษณะอาการแบบนี้พอเกิดขึ้น บางท่านก็คิดว่าทำไมเราไม่หลับ ทั้งคืนก็ไม่หลับ ความจริงร่างกายนอนอยู่ ได้พักผ่อนแล้ว แต่จิตนั้นตื่น ในเมื่อจิตตื่น เราก็ไปคิดว่าเราไม่ได้หลับ ไม่ใช่...บางทีก็หลับชนิดได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วยซ้ำไป

จิตของเรามีสภาพตื่นอยู่เป็นปกติ แต่ว่าโดนทับถมด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน อกุศลกรรมต่าง ๆ ก็เลยมืดบอด ถ้าหากว่าสติสมบูรณ์พร้อม จะตื่นตลอด หลับอยู่ก็รู้ว่าหลับ อะไรไปอะไรมาก็รู้หมด เพียงแต่ว่าจะคลายจิตออกมาสนใจเรื่องเหล่านั้นหรือไม่เท่านั้นเอง

อีกเรื่องก็คือพวกอาการปีติ ** ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ถ้าหากว่าเป็นขณิกาปีติ มีอาการขนลุกเป็นพัก ๆ ก็ไม่เท่าไร ถ้าหากว่าเป็นขุททกาปีติ น้ำตาไหล หรือ โอกกันติกาปีติ ตัวโยกไปโยกมาหรือดิ้นตึงตัง บางทีเราจะตกใจ หรือกลัว หรืออายเขา แล้วก็พยายามไปหยุดเอาไว้ ถ้าลักษณะอย่างนั้น เราจะไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ แล้วก็ไม่สามารถก้าวขึ้นสู่สมาธิที่สูงกว่านั้นได้ ทำถึงตรงนั้นเมื่อไรก็จะเป็นอีก

ให้ทำไม่รู้ไม่ชี้ กำหนดใจไปเลยว่า เรามีหน้าที่ภาวนา จะเป็นจะตายก็ช่าง ถ้าเราตายลงไปตอนนี้เราก็ยอม เพราะเราทำความดีอยู่ อย่างน้อยเราไม่ขาดทุนแน่ ตั้งใจอย่างนั้นแล้วก็ภาวนาของเราไป ร่างกายจะเป็นอย่างไรก็ให้เป็นไป ถ้ารู้จักสังเกตจะเห็นว่า แม้ว่าบางทีร่างกายดิ้นตึงตังโครมครามก็จริง แต่ว่าจิตของเราจะนิ่งมาก ก็เลยไม่มีอะไรที่จะต้องไปกลัว แล้วก็ไม่มีอะไรจะต้องไปอับอายขายหน้า อยากจะดิ้นก็ปล่อยให้ดิ้น อยากจะเป็นก็ปล่อยให้เป็น

ถ้าหากว่าอายเขาก็ปิดประตูเข้ากุฏิ ทำอยู่คนเดียว ปล่อยให้ดิ้นจนเลิกดิ้นไปเอง ผมเองสมัยที่เป็นวัยรุ่นอยู่ ดิ้นอยู่เกือบสามเดือน บางทีพี่น้องเขาแปลกใจว่าทำอะไรตึงตังโครมคราม ก็เปิดประตูเข้ามาดู พอเห็นผมทำสมาธิอยู่ก็เลิกสนใจ ปล่อยให้ผมบ้าไปคนเดียว


หมายเหตุ :
*องฺ. ปญฺจก.๒๒/๕๑/๗๒ อภิวิ. ๓๕/๙๘๓/๕๑๐
**วิสุทฺธิ. ๑/๑๘๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 02-04-2012 เมื่อ 09:54
สมาชิก 86 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #3  
เก่า 03-04-2012, 08:00
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

อีกส่วนหนึ่งก็คือว่า เราอยู่รวมกัน เรื่องของความสามัคคีในหมู่คณะ บางอย่างถ้าหากว่ามีอะไรที่เห็นว่าผิดปกติ หรือว่าจะนอกลู่นอกทางแล้ว ก็ให้ตักเตือนกัน เพราะว่าผมจะมาคอยดูคอยเตือนพวกคุณอยู่เวลาก็มีน้อย

เราเองต้องช่วยกันค้ำ ช่วยกันจุน ช่วยหนุนกันไป วัดปฏิบัตินี้มีดีตรงที่ว่าปัญหาน้อย วัดใหญ่ ๆ อย่างวัดไทรงาม* ที่สุพรรณบุรี ไม่ทราบว่าพวกเราเคยไปหรือเปล่า ? พรรษานี้เขามีพระร้อยกว่ารูป

สมัยที่หลวงพ่อใหญ่ ธมฺมธโร**ท่านยังอยู่ บางพรรษานี่พระสามสี่ร้อยรูป ตอนนี้ขนาดหลวงพ่อท่านมรณภาพไปแล้ว ลูกศิษย์ก็ยังสามารถรักษาความดีอยู่ได้ แล้วเขาอยู่กันอย่างไรเป็นร้อย ๆ รูป โดยที่ไม่กระทบกระทั่งกัน

เราต้องดูตรงจุดนี้ด้วย คือต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนเอง เมื่อทำหน้าที่ของตัวเองดีที่สุดแล้ว ที่เหลือจากนั้นก็คือ ดูที่ตัวแก้ที่ตัว ในเมื่อดูที่ตัวเองแก้ที่ตัวเอง จะไม่ไปดูความผิดของคนอื่นเขา

จะไม่ไปดูว่าไอ้นั่นอวดเก่ง เดินจงกรมทั้งคืนไม่ยอมเลิก จะไม่ไปดูว่าไอ้นี่น่ารำคาญ นั่งสวดมนต์ไม่รู้จักเลิกสักที กูจะนอนก็ไม่ได้นอน แล้วไปสนใจอะไรกับเรื่องของคนอื่นเขา ถ้าไม่ไปสนใจเรื่องคนอื่นเขา เราภาวนาของเรา เราพิจารณาของเรา ถึงเวลาเขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา เราจะนอนก็เรื่องของเรา ก็จบแค่นั้น

อะไรก็ตามที่เป็นระเบียบ ที่ต้องทำตามระยะเวลา ถึงเวลาก็ไปกันให้พร้อมหมู่พร้อมคณะ นอกจากนั้นก็ของใครของมัน พื้นที่ส่วนกลางมี กุฏิของตัวเองมี ต่างคนต่างทำหน้าที่ของเราไป อยู่ในที่ของเราก็ไม่ไปกระทบใครหรอก

เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็อยากจะฝากเอาไว้ เพราะว่าแม้จะเข้าพรรษาผมก็ไม่ค่อยได้อยู่ งานมีเยอะ..เมื่อวานก็ไปเสียสามงาน ไม่รู้จะบอกว่าอย่างไรดี เหนื่อยแล้วก็ลืมไปแล้ว แต่ว่าพอนอนไม่หลับ ก็รู้ว่าประสาทเครียด พอร่างกายไม่ได้พักมาก ๆ ก็จะเอาเรื่องเหมือนกัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ

ไม่รู้ทิดสันต์ทำงานอีกวันจะเสร็จไหม ? เรื่องของไฟนี่ เดินสายเรียบร้อยก็ทิ้งไว้เฉย ๆ ก่อน เอาไว้ถึงเวลาเดินสายเมนใหม่แล้วจั๊มพ์เข้าทีเดียว ใครมีปัญหาส่วนตัวไหม ?


หมายเหตุ :
*วัดไทรงามธรรมธราราม หมู่ที่ ๑ ตำบลดอนมะสังข์ อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
**พระครูภาวนานุศาสน์ (แป้น ธมฺมธโร น.ธ.โท) เจ้าอาวาสวัดไทรงามธรรมธราราม จังหวัดสุพรรณบุรี
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 03-04-2012 เมื่อ 08:04
สมาชิก 77 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
  #4  
เก่า 04-04-2012, 07:28
เถรี's Avatar
เถรี เถรี is offline
ผู้ดูแลเว็บ - ยืนยันตัวตนแล้ว
 
วันที่สมัคร: Jan 2009
ข้อความ: 31,421
ได้ให้อนุโมทนา: 154,231
ได้รับอนุโมทนา 4,444,554 ครั้ง ใน 35,026 โพสต์
เถรี is on a distinguished road
Default

ถาม : เวลานั่งสมาธิกับหมู่คณะ ถ้าเราจามแล้วทำให้หมู่คณะเขาตกใจ?
ตอบ : ถ้ารู้ตัวจะจาม ให้บีบจมูกขยี้ซัก ๒ – ๓ ที จะช่วยให้หายจามได้

ถาม : ช่วงนี้ฟุ้งมากครับ ภาวนาไม่ค่อยได้
ตอบ : บางทีเรารับอาหารน้อยไปหรือพักผ่อนไม่พอ ร่างกายเครียด ก็จะฟุ้งซ่านเป็นปกติ แต่ขอให้พวกคุณทราบว่าเวลาที่ฟุ้งซ่าน เป็นเวลาที่เราใกล้ฝั่งแล้ว มารเขาพยายามจะดึงให้เราฟุ้ง

ถ้าดึงให้ไปรัก โลภ โกรธ หลง ได้ ก็แปลว่า เรายังอยู่ใต้อำนาจของเขาอยู่ ถ้าหากเราไม่ได้ฟุ้ง เราก็จะหนีห่างออกมา เขาก็พยายามจะกวนใจ

ถาม : มันดิ้นไม่เลิกครับ กลัวเพื่อนจะรำคาญ
ตอบ : เรื่องปีติ*นั้น จะเป็นมากเป็นน้อย ข้ามได้เร็วได้ช้า ขึ้นอยู่กับกำลังใจของเราเอง มีบางคนไม่ทราบสร้างบุญมาท่าไหน ไม่เคยเจอเลย แต่ว่าโดยทั่วไปเลย อย่างน้อย ๆ จะต้องเจอสักอย่างสองอย่าง เป็นทุกคน ยกเว้นว่ามาสายพุทธภูมิ เป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าอย่างนั้นต้องเจอทั้ง ๕ อย่างเลย

ผมเองก็ไม่คิดว่าจะเจอครบ ผมเจอมาก่อนแค่ ๓ ตัว ปรากฏว่า ๒ ตัวสุดท้าย คือลอยกับตัวพอง ตัวใหญ่ ตัวแตก ตัวรั่ว มาเป็นหลังจากที่ทรงฌานไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ ผมก็คิดว่าทรงฌานข้ามปีติไปแล้ว น่าจะพ้นแต่ก็ไม่พ้น

ถึงเวลาสมาธิลดฮวบลง ปีติโผล่มาเฉยเลย สมาธิลดลงเอง บังคับไม่ได้ แล้วปีติก็เกิด ท่านแค่ต้องการให้รู้ว่าเป็นอย่างไร ถึงเวลาคนนั้นเขามาถาม จะได้อธิบายให้เขาฟังได้

ถาม : สมาบัติคืออะไรครับ ?
ตอบ : สมาบัติก็คือเข้าถึงสมาธิในระดับฌานตั้งแต่ปฐมฌานขึ้นไป จะเป็นฌานขั้นใดขั้นหนึ่งก็ได้ การเข้าสมาธิในระดับนั้น เขาเรียกว่าสมาบัติ คือ การเข้าถึง



--------------------------------------





หมายเหตุ :
*วิสุทฺธิ. ๑/๑๘๒
__________________
........................

เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง

จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 04-04-2012 เมื่อ 10:15
สมาชิก 84 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน
แสดง/ซ่อน รายชื่อผู้อนุโมทนา
กระทู้ถูกปิด


ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน )
 

กฎการส่งข้อความ
You may not post new threads
You may not post replies
You may not post attachments
You may not edit your posts

BB code is ใช้ได้
Smilies are ใช้ได้
[IMG] code is ใช้ได้
HTML code is งดใช้

Forum Jump


เวลาทั้งหมดอยู่ในเขตเวลา GMT +7 และเวลาในขณะนี้คือ 07:04



ค้นหาในเว็บวัดท่าขนุน

เว็บวัดท่าขนุน Powered by vBulletin
Copyright © 2000-2010 Jelsoft Enterprises Limited.
ความคิดเห็นส่วนตัวทุก ๆ ข้อความในเว็บบอร์ดนี้ สงวนสิทธิ์เฉพาะเจ้าของข้อความ ไม่อนุญาตให้คัดลอกออกไปเผยแพร่ นอกจากจะได้รับคำอนุญาตจากเจ้าของข้อความอย่างชัดเจนดีแล้ว