#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันศุกร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๓
ขอให้ทุกคนนั่งในท่าที่สบายของตัวเอง ตั้งกายให้ตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับคำภาวนาหรือภาพพระของเรา หายใจเข้ากำหนดรู้อยู่ว่าหายใจเข้า หายใจออกกำหนดรู้อยู่ว่าหายใจออก เพื่อให้สติของเราทรงตัวตั้งมั่นอยู่เฉพาะหน้า จิตจะได้มีกำลัง จะได้ใช้ในการกดกิเลสหรือตัดกิเลสได้อย่างที่เราต้องการ
วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๕๓ เป็นวันแรกของการปฏิบัติกรรมฐานประจำเดือนมิถุนายนนี้ หลายท่านที่มาถึงแล้ว คงจะเห็นซากปรักหักพัง จากการที่กลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาลได้เผาสถานที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะมาเผาอาคารที่เป็นตึกแถวเดียวกันกับบ้านอนุสาวรีย์นี้ ในช่วงที่มีการเผากันอยู่นั้น มีญาติโยมหลายท่านได้โทรไปหา ด้วยความตระหนกตกใจเป็นอย่างยิ่ง เกรงว่าสถานที่นี้จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย ที่จริงแล้วอาตมาเองก็ค่อนข้างจะเฉยมากกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อีกใจหนึ่งก็สงสารญาติโยมว่า กำลังใจที่ยังขาดที่พึ่งที่แท้จริง เมื่อถึงเวลาก็ห่วงว่าสิ่งที่เป็นที่พึ่งของตนนั้นจะสูญไป ก็เกิดความตกใจหวั่นไหว แม้ว่าสิ่งที่เขาจะสูญเสียไปนั้น ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี คือ เป็นสถานที่ทำบุญ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของเขาก็ตาม แต่ว่าก็เป็นการแสดงออกอย่างชัดเจนว่า กำลังใจของท่านทั้งหลายเหล่านั้นยังใช้การไม่ได้ ยังหวั่นไหวไปกับสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามากระทบได้ง่าย ถ้าหากว่ากำลังใจของเราทรงตัวมั่นคง ไม่หวั่นไหว เมื่อมีเหตุการณ์สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น ก็ไม่ได้ตกอกตกใจ หากแต่คอยหาวิธีการที่จะแก้ไขให้ออกมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อเป็นดังนี้ วิธีการที่จะทำให้กำลังใจของเราเข้มแข็งมั่นคงนั้น ก็แปลว่าจะต้องยึดมั่นอยู่ใน ศีล สมาธิ และ ปัญญา
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 16-06-2010 เมื่อ 11:41 |
สมาชิก 71 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
ศีลนั้น..แต่แรกเริ่มเราต้องลำบาก ระมัดระวังสิกขาบทต่าง ๆ ให้ครบถ้วนสมบูรณ์บริบูรณ์ แต่เมื่อเราสามารถปรับกำลังใจจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับศีลแล้ว จะขยับไปทางไหนก็รู้ตัวอยู่เสมอว่าศีลจะขาดหรือไม่ ระมัดระวังรักษาสิกขาบทไม่ให้ศีลขาดด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้ผู้อื่นกระทำ และไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นกระทำให้ศีลขาด
ถ้าทำได้อย่างนี้กำลังใจของเรา ก็จะมีความมั่นคงในศีล มีความเชื่อมั่น เมื่อถึงตอนนี้แล้วกำลังของศีลก็จะย้อนกลับมารักษาเราเอง ก็คือ สร้างกำลังใจของเราให้มั่นคง เข้มแข็ง ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งอื่นได้ง่าย เมื่อกำลังของศีลทรงตัว สมาธิที่เราตั้งใจทำก็จะตั้งมั่นได้ง่าย เมื่อศีลทรงตัวและสมาธิตั้งมั่นแล้ว ถ้ารู้จักคิดพิจารณาให้เป็น ปัญญาก็จะเกิดขึ้น ได้รู้เห็นสภาพความเป็นจริงว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นก็ย่อมมีการเสื่อม พังสลายไปเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นดังนี้แล้ว ถ้าสภาพจิตของท่านทั้งหลายยอมรับ ก็จะได้เห็นว่าธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้เอง เมื่อธรรมดาของโลกเป็นเช่นนี้ อะไรที่ไม่ดีไม่งามเกิดขึ้น ถ้าเราสามารถแก้ไขได้ด้วยกำลังกาย กำลังใจ กำลังสติปัญญา กำลังคน กำลังทรัพย์ ฯลฯ ก็พยายามแก้ไขอย่างสุดความสามารถ ถ้าไม่สามารถที่จะแก้ไขได้ จึงจะปล่อยวาง ให้เห็นว่าเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นมีการเกิดขึ้นในเบื้องต้น ย่อมมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนไปตามปกติ ท้ายสุดก็เสื่อมสลายตายพังไปเป็นธรรมดา ถ้าสภาพจิตของเรามองเห็นเช่นนี้ ยอมรับว่าธรรมดาเป็นเช่นนี้ สภาพจิตของเราก็จะแน่วนิ่งมั่นคง ไม่หวั่นไหวไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นรอบข้างของเรา สิ่งใดที่จะสมควรกระทำในลักษณะส่งเสริม ก็จะกระทำไป สิ่งใดที่จะหลีกเลี่ยงเพราะเห็นว่าไม่ใช่สิ่งที่จะถูกต้อง ก็จะหลีกเสียไม่ไปกระทำ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 02:39 |
สมาชิก 59 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ดังนั้น..เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานั้น จะว่าเป็นปกติธรรมดา เป็นพัฒนาการของประชาธิปไตยประเภทหนึ่งก็ใช่ แต่ขณะเดียวกัน ถ้ากำลังใจของเราจะไม่มั่นคง ก็จะเกิดความเครียด ความวิตกกังวล ความตื่นตระหนกตกใจเป็นปกติ แต่ถ้าเรามั่นคงในศีล สมาธิ ปัญญา ดังที่กล่าวมาแล้ว สภาพจิตที่ทรงตัวตั้งมั่นไม่หวั่นไหว ก็จะเกิดขึ้นแก่เรา ทำให้เราไม่ต้องเครียด ไม่ต้องตระหนกตกใจไปกับเหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านั้น
เราจะเห็นได้ว่า สภาพจิตที่ฝึกมาดีแล้วนั้น เป็นที่พึ่งของเราได้จริง ๆ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทุกท่านควรจะกระทำ ก็คือรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ทำสมาธิให้ทรงตัวตั้งมั่น สร้างปัญญาให้เกิดเพื่อเห็นสภาพที่แท้จริงของร่างกายนี้ ของโลกนี้ แล้วถอนความพอใจในร่างกายและโลกนี้ออกเสีย ขึ้นชื่อว่าการเกิดใหม่สำหรับเราจะไม่มีอีกแล้ว ถ้าทำดังนี้ได้ โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะหลุดพ้นจากความทุกข์โดยสิ้นเชิงอย่างที่ปรารถนา ก็จะไม่ไกลเกินกว่าที่จะเอื้อมถึง แต่ถ้ากำลังใจของใครยังหวั่นไหวอยู่ ก็อย่าเพิ่งกล่าวโทษตำหนิตัวเองไปมากมายนัก ให้เห็นว่าปกติธรรมดาของปุถุชนต้องเป็นอย่างนั้น เราค่อย ๆ สั่งสมกำลังใจในศีล สมาธิ ปัญญาของเราต่อ ๆ ไป จนกว่าจะก้าวถึงระดับที่ทรงตัวตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเหมือนกับคนอื่นได้ เราก็จะเหลือความทุกข์ที่น้อยมาก นอกจากความทุกข์ปกติตามสภาพสังขารแล้ว ความทุกข์อื่น ๆ ไม่สามารถที่จะมาเกาะกินใจของเราได้ สำหรับตอนนี้ก็ให้ทุกท่านกำหนดลมหายใจ พร้อมกับภาพพระหรือคำภาวนาตามปกติ หายใจเข้ากำหนดรู้ตามไป ว่าลมหายใจผ่านจมูก..ผ่านกึ่งกลางอก..ลงไปสุดที่ท้อง หายใจออกจากท้อง..ผ่านกึ่งกลางอก..มาสุดที่ปลายจมูก ให้ความรู้สึกทั้งหมดแน่วนิ่งอยู่กับปัจจุบันธรรม คือ ลมหายใจเข้าออกเฉพาะหน้านี้ รักษาประคับประคองคำภาวนา ลมหายใจเข้าออก ตลอดจนภาพพระของเราให้มั่นคงเข้าไว้ จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านอนุสาวรีย์ วันศุกร์ที่ ๔ มิถุนายน ๒๕๕๓
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 17-06-2010 เมื่อ 11:49 |
สมาชิก 55 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|