|
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี เก็บข้อธรรมจากบ้านวิริยบารมีมาฝาก สำหรับผู้ที่ไม่มีโอกาสเดินทางไป |
|
คำสั่งเพิ่มเติม |
#1
|
||||
|
||||
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนมิถุนายน ๒๕๕๙
พระอาจารย์กล่าวว่า "เป็นเรื่องแปลก...พระขุนแผนเกราะเพชรคนกลับไม่นิยมที่ฝังตะกรุดเนื้อนาก ทั้ง ๆ ที่ตะกรุดเนื้อนากนอกจากจะทำยากที่สุดแล้ว ยังเป็นโลหะถอนอาถรรพ์ได้ เพราะสมัยก่อนเทคนิคการผสมโลหะยังไม่ค่อยดี บรรดาพวกคนที่ทรงฌาน ทรงสมาบัติ ก็สร้างตัวคาถาขึ้นมาบ้าง วิชาบ้าง ที่สามารถป้องกันอาวุธได้ แต่คราวนี้อาวุธที่ป้องกันได้นั้นมักจะทำจากโลหะชนิดเดียว เขาก็เลยต้องมีการทำโลหะผสมขึ้นมา โลหะผสมที่ทำขึ้นมาก็เพื่อที่จะใช้แก้เรื่องการป้องกันพวกนี้แหละ ไม่อย่างนั้นแล้วก็ทำอะไรเขาไม่ได้
ในเรื่องของนากก็เหมือนกัน ที่สมัยก่อนเขาเล่นแร่แปรธาตุกันขึ้นมาจนได้โลหะนาก ซึ่งมีส่วนผสมของเงิน ทองแดง ทองคำ ฯลฯ ถ้าใช้ถอนอาถรรพ์ต้องจัดอยู่ในส่วนของตรีโลหะ คือ ผสม ๓ อย่าง แล้วก็มีปัญจโลหะ ผสม ๕ อย่าง สัตตโลหะ ผสม ๗ อย่าง นวโลหะ ผสม ๙ อย่าง อย่างหอกที่ใช้แทงชาละวัน พญาจระเข้หนังเหนียว อาวุธอะไรก็ทำไม่ได้ ต้องเล่นถึงสัตตโลหะ อยากกันได้หลายอย่างดีนัก ก็ล่อเสีย ๗ อย่างไปเลย นวโลหะเป็นผลพลอยได้ของการเล่นแร่แปรธาตุ เขาอยากจะทำทองคำ แต่ปรากฏว่าทองคำจริง ๆ เป็นสัตตโลหะ ผสม ๗ อย่างก็ได้ทองคำ ส่วนนวโลหะ ผสม ๙ อย่างได้เป็นนาก อันนี้อุตส่าห์ผสมทำตะกรุดนาก ม้วนยากม้วนเย็น กลับจองกันมาหน่อยเดียว ดู ๆ แล้วก็ขำ ของที่ทำยากและมีอานุภาพแปลกประหลาดกว่าเพื่อน กลับไม่มีใครใส่ใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก....อย่างไรเสียอาตมาก็ไปเชิญ "ขุนแผน" มาเรียบร้อยแล้ว"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 18:57 |
สมาชิก 258 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
"ทองคำเป็นโลหะผสม แต่พอผสมแล้วธาตุกลับเป็นของเฉพาะตน ก็เลยกลายเป็นว่าส่วนผสมเดิมป่านนี้ยังไม่มีใครแยกออกได้ วันก่อนมีโยมท่านหนึ่งมาบอกว่า สามารถแยกส่วนผสมของทองคำออกมาได้แล้ว อาตมาหัวเราะก๊ากเลย ส่วนที่เขาแยกออกมาก็คือโลหะผสมที่ทำให้ทองแข็งตัวขึ้นเพื่อทำเป็นทองรูปพรรณได้ แยกออกมาก็เหลือโลหะผสมกับเนื้อทองบริสุทธิ์แค่นั้นเอง ก็กลายเป็นทองคำ ๙๙.๙๙ เปอร์เซ็นต์ หรือไม่ก็ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ว่าแยกส่วนที่ผสมแล้วเป็นทองคำออกมาได้เสียเมื่อไร
ส่วนทองคำขาวเป็นโลหะแพลทตินั่ม ความแกร่งมีมากกว่า จุดหลอมเหลวสูงกว่า ก็เลยเรียกทองคำขาว แต่ความจริงไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลย ทองคำดำถึงเกี่ยวกัน ทองคำดำโบราณเรียกว่า สุวรรณขีด บางคนเรียกว่า เจ้าน้ำเงิน พวกเราที่ไม่รู้ว่าเจ้าน้ำเงินที่ผสมนวโลหะคืออะไร ก็คือ ทองคำดำ สมัยใหม่เขาเรียกว่า รูทีเนียม (Ruthenium) กระมัง ? ต่อไปก็ไม่ต้องไปเสียเวลาเสาะแสวงหาตามป่าตามเขา สั่งชาวต่างชาติทำให้เลย แพงหน่อย คือถ้าเขารู้ธาตุแน่ชัดแล้วก็ทำได้ ถ้ายังไม่รู้แน่ชัดก็ทำไม่ได้ ทองคำดำนี่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเรียกว่า แร่โคตรเศรษฐี คุณสมบัติเหมือนทองคำทุกอย่าง แต่เป็นสีดำเท่านั้น ไม่ค่อยนิยมเพราะไม่ค่อยมี ร้อยวันพันปีจะเจอสักหน่อยหนึ่ง ตอนนั้นแม่ชีปทุมก็ถือว่าโชคดี น่าจะประมาณเทวดาเอามาให้ ก็เลยสร้างพระแร่โคตรเศรษฐีขึ้นมาชุดหนึ่ง"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:01 |
สมาชิก 233 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ถาม : ตามที่หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านเคยอาราธนาบารมีพระพุทธชินราชให้ฝนตก อยากทราบว่าท่านมีวิธีอาราธนาหลวงพ่อพุทธชินราชขอฝนให้ท่านสงเคราะห์อย่างไรบ้างครับ ?
ตอบ : วิธีอาราธนาที่หลวงพ่อท่านใช้ ก็คือ อาราธนาให้ถูกองค์ ไม่ใช่ว่าไปอาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชที่วัดใหญ่ พิษณุโลก และก็ไม่ใช่อาราธนาหลวงพ่อพระพุทธชินราชองค์อื่น ๆ ที่เขาสร้างขึ้นมา แต่ว่าต้องเป็น องค์นั้น ของตอนนั้น ที่วัดบางนมโคเท่านั้น องค์อื่นก็ไม่ได้ผล เพราะฉะนั้น...อยากรู้วิธีก็ไม่ยากหรอก หาองค์นั้นให้เจอเท่านั้นแหละ...! ถาม : แล้วปีนี้องค์ไหนละคะ ? ตอบ : ก็นั่นน่ะสิ...! อาตมาย่องไปดูที่วัดบางนมโคหลายรอบแล้วแต่ไม่เจอ คาดว่าน่าจะโดนคนเอาไปชั่งกิโลขายหรือยกเอาไปอยู่วัดอื่นแล้ว
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:02 |
สมาชิก 228 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#4
|
||||
|
||||
ถาม : การถวายอาหารพระพุทธรูป พระภูมิเจ้าที่ เทพเจ้าอื่น ๆ รวมทั้งสัมภเวสี ด้วยอาหารที่ยังอยู่ในถุงพลาสติก ปิดปากถุงด้วยหนังยางรัดไว้ หรืออยู่ในกล่องที่ปิดอยู่ หรือน้ำขวดที่ไม่ได้เปิดฝาจีบ หรือฝาหมุน นมกล่องที่ไม่ได้เจาะหลอด หรือขนมห่อใบตองที่ไม่ได้แกะไม้กลัดออก รวมทั้งผลไม้ที่ไม่ได้ปอกเปลือก และไม่ได้ถวายภาชนะ จะทำให้การถวายอาหารเหล่านั้น มีผลไปถึงท่านที่เราตั้งใจถวาย เหมือนกันหรือแตกต่างจากการถวายอาหารด้วยการจัดอาหารออกวางลงบนภาชนะ เปิดขวด ใส่หลอด รินน้ำลงแก้ว ปอกเปลือกผลไม้ และตัดแต่งให้พร้อมรับประทาน อย่างที่คนเราทำกันเพื่อรับประทานกันครับ ?
ตอบ : ถ้าหากถวายพระหรือถวายเทวดาอย่างไรก็ได้ จัดให้ดูเรียบร้อยงดงามหน่อยก็พอ จะอยู่ในภาชนะปิดกี่ร้อยชั้นก็ไม่ว่า แต่ถ้าตั้งใจจะเลี้ยงผีหรือสัมภเวสี โปรดกรุณาแกะออกให้เรียบร้อยด้วย เพราะเขามีกฎบังคับอยู่ว่า ถ้าเป็นของมีเจ้าของจะไปแตะของเขาไม่ได้ ฉะนั้น...ถ้ายังไม่ได้แสดงอาการให้อย่างแท้จริง ยังอยู่ในหีบในห่อหรือยังอยู่ในถุงในไถ้นี่ เขาหมดสิทธิ์ที่จะแตะต้องเลย ถาม : และถ้าเอาอาหารให้สัมภเวสีโดยการปักธูปให้กิน สามารถเรียกให้มารับได้ใช่ไหมคะ ? ตอบ : สมัยเด็ก ๆ อาตมาเรียกประจำ เพราะผู้ใหญ่เขากลัว ส่งธูปให้กำหนึ่งให้ไปเรียกมา คนจีนเขาไหว้กันทุกปี เขาเรียก "ไป้ห่อเฮียตี๋" ใครเคยบ้างล่ะ ? อาตมาลองดูแล้ว เขามาทีเป็นหลักพันเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:04 |
สมาชิก 220 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#5
|
||||
|
||||
ถาม : มีคนรู้จักได้คลอดบุตรในวันวิสาขบูชาที่ผ่านมา แล้วตั้งชื่อลูกพยางค์เดียวว่า "พุทธ" ที่แปลว่าผู้รู้ ไม่มีอะไรต่อท้าย ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่น ตอนแรกก็ไม่ได้เอะใจอะไรมากนัก แต่พอมาคิดอีกที รู้สึกสงสัยว่าจะเป็นการไม่สมควรหรือไม่ ที่ตั้งชื่อลูกออกมาพ้องกับพระพุทธเจ้า ?
ตอบ : ก็ตั้งไปแล้วนี่ มาสงสัยอะไรเล่า ? ตั้งไปเถอะ ชื่อเป็นแค่สิ่งสมมติเท่านั้น เจอหน้าลูกก็ยกมือไหว้ทุกครั้ง แล้วนึกถึงพระก็ใช้ได้แล้ว ...(หัวเราะ)...
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:05 |
สมาชิก 216 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#6
|
||||
|
||||
ถาม : คำว่า "อิสสา" กับ "อรติ" คือสิ่งเดียวกันหรือไม่ ? มีลักษณะอย่างไร ? การเจริญมุทิตาสามารถกำจัดอารมณ์สองอย่างนี้ได้หรือไม่ ?
ตอบ : อิสสา ภาษาไทยคือ อิจฉา ก็คือ ความริษยาในขณะที่เห็นคนอื่นเขาดีแล้วทนไม่ได้ ส่วน อรติ ก็คือ ความไม่ยินดี ไม่พอใจ ลักษณะเป็นปฏิฆะ คือ การกระทบที่เกิดจากพื้นฐานของโทสะ เป็นคนละอย่างกันแต่มาจากตัวปฏิฆะ คือ พื้นฐานของโทสะเหมือนกัน การแผ่เมตตาหรือเจริญเมตตาเป็นปกติ ถ้าหากกำลังถึงก็สามารถที่จะระงับทั้งสองตัวนี้ลงได้ ถาม : ตอนนี้ที่เป็นหลัก ๆ คือ อารมณ์โทสะ โกรธ น้อยใจ กับอีกอย่างคือความเศร้าใจหดหู่ ตอนตื่นนอนตอนเช้าจะมีอาการเศร้าอยู่ในใจเสมอ หรือบางครั้งก็จะมีความโกรธขึ้นมาเฉย ๆ เป็นมาเป็นปี ๆ แล้วครับ มีความทุกข์มาก ไม่ทราบว่าจะแก้ไขอย่างไร ? ตอบ : ภาวนาให้หลับไป ถ้าภาวนาหลับไปแล้วตื่นขึ้นมา อารมณ์ใจจะเคว้งอยู่นิดหนึ่ง พอนึกได้ก็จะภาวนาต่อ หรือถ้าอารมณ์ใจละเอียด ตื่นขึ้นมาแล้วคว้าอารมณ์ภาวนาต่อได้เลย ถ้าละเอียดยิ่งกว่านั้นก็คือรู้อยู่ตลอดว่าเราภาวนา ถ้าทำแบบนี้แก้ได้ทุกอารมณ์เลย ไม่ใช่แค่นี้เท่านั้น ถาม : พยายามเจริญพรหมวิหาร ๔ แต่บางครั้งได้เพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เหมือนกับว่าหมดกำลัง สู้ความโกรธหรือความอิจฉาไม่ได้ ในขณะนั้นต้องทำอย่างไร ? ตอบ : ถ้ารู้ว่าสู้ไม่ได้ก็หนีก่อน ไปให้พ้นจากเหตุการณ์ตรงนั้นก่อน หลังจากนั้นค่อยไปซักซ้อมภาวนาแผ่เมตตาของเรา การแผ่เมตตาก็ให้คนที่เรารักก่อน เพราะจิตใจไม่ต่อต้าน สามารถให้ได้ง่าย หลังจากนั้นก็ให้คนที่เราไม่รักไม่เกลียด หรือสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่ว ๆ ไป แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดน้อย จนกระทั่งอารมณ์ใจทรงตัวจริง ๆ แล้วค่อยไปให้คนที่เราเกลียดมาก ถ้าไปให้คนที่เราไม่ชอบหน้าจริง ๆ ตั้งแต่แรก ก็หงายท้องอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะกำลังของเราไม่พอ ถาม : ขณะที่เจริญพรหมวิหาร ๔ แล้วไม่มีกำลังพอจะสู้กับความโกรธ จึงเปลี่ยนไปใช้วรรณกสิณแทน หรืออย่างบางทีมีราคะก็ใช้อสุภะ กับกายคตาสติแทน ทำอย่างนี้จะเป็นการเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา แล้วทำให้การปฏิบัติไม่ก้าวหน้าหรือไม่ ? ตอบ : ไม่ก้าวหน้าแน่นอน เพราะเรื่องของกรรมฐานถ้าจะใช้งานต้องทำให้ได้จริง ๆ ก่อน ถ้าทำไม่ได้จริงก็เท่ากับเราแค่รู้วิธีเท่านั้นว่าจะน็อกคู่ต่อสู้อย่างไร แต่การฝึกซ้อมตลอดจนกระทั่งกำลังไม่มี ก็มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้น็อกไปตลอด ถาม : สำหรับโทสะจริต ที่ให้ใช้พรหมวิหาร ๔ กับ วรรณกสิน ๔ กรรมฐานสองอย่างนี้สามารถกำจัดโทสะให้หายขาดได้หรือไม่ ? หรือเพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าจะกำจัดโทสะให้หายหรือเบาบางลง ต้องทำอย่างไร ? ตอบ : ถ้าทำถูกก็กำจัดได้เลย ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แค่ชั่วคราว คำว่าทำถูกในที่นี้ก็คือต้องต่อด้วยวิปัสสนาญาณ ท้ายที่สุดก็ปล่อยวางลงได้จนหมด เพราะไม่ว่าเขาหรือเราก็ตายหมดเหมือนกัน เมื่อเป็นดังนั้นสภาพจิตของเราก็จะปลดออกจากตรงจุดนั้นมา ตัวโกรธก็ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แต่ถ้าทำผิดวิธีก็ได้แต่ระงับชั่วคราวเท่านั้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:08 |
สมาชิก 190 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#7
|
||||
|
||||
ถาม : ในขณะที่ตั้งใจเจริญพระกรรมฐาน จิตคิดว่าเราเป็นคนไม่มีศีล ทำผิดศีล ทั้ง ๆ ที่ตลอดทั้งวันเราตั้งใจรักษาศีล ๕ ไม่ได้ละเมิดเลยสักข้อเดียว จะห้ามเท่าไร ถึงขนาดบอกจิตตนเองว่าวันนี้ศีลบริสุทธิ์ จิตก็ไม่เชื่อ จิตคิดอย่างนี้จะทำอย่างไรดีครับ ?
ตอบ : ไม่ต้องทำอย่างไร บอกไปเถอะว่ากูทำดีแล้ว เพราะลักษณะอย่างนั้นแสดงว่ากิเลสมารเขามาหลอกเรา อาตมาเคยโดนกลั่นแกล้งมาเยอะแล้ว ถึงขนาดรัก โลภ โกรธ หลง มาฟ้าถล่มดินทลาย กลายเป็นคนชั่วช้าสารเลวชนิดหาข้อดีไม่ได้เลย แต่อาตมานั่งอยู่หน้าพระประธาน มึงมีปัญญามึงบอกไปสิ กูจะนั่งอยู่ตรงนี้ ถ้ากูไม่คิด ไม่พูด ไม่ทำ เสียอย่าง มึงมีปัญญาก็พากูไปชั่วให้ได้สิ เป็นวิธีที่หน้าด้านหน่อย แต่ถ้ากำลังยังสู้ไม่ได้ก็ต้องอาศัยลูกตื๊อแบบนั้น ก็คือเรานั่งอยู่ต่อหน้าพระ อย่างน้อย ๆ เรื่องของกายและวาจา เราก็ไม่ทำชั่ว เราไม่พูดชั่วอยู่แล้ว เหลือแต่ใจให้คิดไป เราชนะสองในสาม อย่างไรเสียก็ได้เข้ารอบชิงแน่..! ถาม : ช่วงนี้ไม่ทราบเป็นมาอย่างไร รู้สึกกังวลใจเรื่องการรักษาศีลอย่างมาก ทำอะไรที่ไม่มั่นใจว่าเป็นการละเมิดศีล ก็จะฟุ้งซ่านคิดว่าตนเองทำผิดศีลไปแล้ว อย่างผมเห็นว่าบ้านหลังนี้สวย อยากจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ เราไปถ่ายมาโดยไม่ได้ขอเจ้าของบ้าน จะถือว่าเป็นการผิดศีลข้อลักขโมยหรือไม่ครับ ? ตอบ : แอบถ่ายแล้วได้บ้านหลังนั้นตกมาเป็นของเราไหม ? ถ้าได้มาก็เป็นการลักขโมย แต่เห็นว่าบ้านยังตั้งอยู่ที่เดิมนี่ ถาม : ถ้าไปถ่ายรูปคนอื่นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ว่าถูกถ่าย ผิดศีลไหมคะ ? ตอบ : ถ้าไม่ไปถ่ายใต้กระโปรงของเขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:10 |
สมาชิก 192 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#8
|
||||
|
||||
ถาม : หลวงพ่อวัดท่าซุงท่านบอกให้นำน้ำมันชาตรีไปสงเคราะห์รถยนต์โดยการเจิมที่ตัวรถได้ แต่ถ้าเรานำไปเจิมพระพุทธรูปที่ยังไม่ได้เข้าพิธีหรือวัตถุอื่น ๆ จะได้ไหมครับ ?
ตอบ : อาตมาแนะนำให้แช่เลยดีกว่า แหม...ใช้คำว่าไปสงเคราะห์รถยนต์ ทำอย่างกับน้ำมันชาตรีเป็นช่างซ่อม...! จะเจิมอะไรก็เจิมไปเถอะ ถ้ามั่นใจในคุณพระก็ถือว่าเป็นมงคลใหญ่เหมือนกัน ถาม : ถ้าเจิมที่พระพุทธรูปจะทำให้มีผลเหมือนพระพุทธรูปที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกหรือไม่ครับ ? ตอบ : เหมือนกัน เพียงแต่ถ้ากำลังใจของเราไม่ยึดเกาะ จะเข้าพิธีหรือไม่เข้าพิธีก็แย่พอกัน ถาม : น้ำมันชาตรี ผมนำไปผสมทั้งน้ำมันงา น้ำมันมะพร้าว ตั้งใจว่าจะกินวันละช้อน เผื่อไว้ไปมีเรื่องกับใครหรือถูกสิบล้อชนจะได้เป็นลูกเบาบ้าง แต่ไม่ไหวจริง ๆ ครับ กินไม่ได้ ถ้าผมจะนำไปผสมในกับข้าวหรืออาหารโดยการเททับหลังสุด อานุภาพจะเสียไหมครับ ? ตอบ : ไม่เสีย แต่ถ้ารังเกียจเสียตั้งแต่แรกก็คงกินไม่ได้อยู่ดี เอาไปใส่อะไรก็คงรู้สึกว่ารสชาติแย่พอกัน อาตมาไม่เห็นว่ากินยากตรงไหนเลย อร่อยเสียด้วยซ้ำไป ถาม : ถ้าเปลี่ยนเป็นเจิมหัว เจิมหน้าผาก พอจะไหวไหมคะ ? ตอบ : ปกติเขาก็เจิม นี่ทะลึ่งจะกิน ก็จะได้ความอ้วนมาโดยอัตโนมัติ
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:12 |
สมาชิก 208 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#9
|
||||
|
||||
ถาม : คุณแม่อ่านหนังสือไม่ได้ เมื่อไปบวชเนกขัมมะที่วัด ต้องมีการสวดมนต์ทำวัตรเช้า-เย็น จะต้องวางกำลังใจและปฏิบัติอย่างไรครับ ?
ตอบ : บอกคุณแม่ว่า "พุทโธ" คำเดียว ดีกว่าสวดมนต์ทั้งวัน ให้นั่งภาวนา "พุทโธ...พุทโธ" ไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:12 |
สมาชิก 213 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#10
|
||||
|
||||
ถาม : การที่พระสงฆ์สามเณรต้องออกไปนอกวัดด้วยกิจต่าง ๆ เช่น ไปทำธุระของท่านเองคนเดียว เมื่อถึงเวลาเพล ต้องมีการฉันอาหาร แต่ไม่มีญาติโยมมาถวาย มีแต่ร้านอาหารที่เปิดขายตามข้างทาง ในกรณีนี้ พระสงฆ์สามเณรสามารถสั่งอาหารจากโยมร้านอาหารมาถวายได้หรือไม่ครับ ?
ตอบ : ถ้าสั่งน้อยไม่ได้ ถ้าสั่งมาก ๆ ก็ได้...! โดยปกติพระเข้าร้านอาหารกัน สั่งอาหารมาไม่ต้องประเคน พระก็ฉันได้ เพราะไม่ใช่ของโยม แต่เป็นของเรา ฟังเข้าใจกันไหม ? ก็คือ ข้าวของที่ต้องประเคน คือข้าวของที่เป็นของโยมเอามาถวายพระ การประเคนคือการแสดงออกว่าให้อย่างแท้จริงแล้ว แต่ของที่เราซื้อ ไม่ว่าจะซื้อจากห้างสรรพสินค้าหรือร้านอาหารก็ตาม...นั่นเป็นของเรา เพราะเราแลกเปลี่ยนมาด้วยเงิน ไม่จำเป็นต้องประเคนก็เป็นของเรา แสดงว่ามีเยอะเลย ประเภทเข้าร้านแล้วให้โยมประเคนให้ แบบนี้ไปต่างประเทศอดฉันแน่นอน เพราะเขาไม่รู้ว่าประเคนคืออะไร..!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 06-06-2016 เมื่อ 19:13 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#11
|
||||
|
||||
ถาม : ผมไปบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง ในวัดนั้นจะมีห้องสำหรับเก็บของสังฆทานที่ญาติโยมนำมาถวาย เช่น เครื่องดื่ม ตอนที่บวชเข้ามา หลวงพี่ที่ท่านทำหน้าที่ดูแลพระซึ่งมีอาวุโสรองจากเจ้าอาวาส ได้บอกว่า สิ่งใดที่พระเณรจำเป็นต้องใช้ ก็สามารถไปหยิบจากห้องสังฆทานได้เลย ในส่วนที่ผมเป็นเณร ถ้าผมไปหยิบตามคำที่ท่านได้บอกไว้ ผมจะผิดศีลผิดวินัยไหมครับ ?
ตอบ : สามเณรไม่มีอาบัติปาราชิก แต่ถ้าตั้งใจขโมยก็ศีลขาด แต่สามเณรดีตรงที่ว่าสามารถต่อศีล ก็คือรับศีลใหม่ได้ พูดแบบนี้เดี๋ยวขโมยกันใหญ่เลย...! แต่ถ้าตั้งใจจะบวชเป็นพระต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้ดี ถ้าสิ่งใดไม่ได้รับอนุญาตก็อย่าไปแตะต้อง เพราะถ้าเป็นพระเกิดมีเถยยจิตคิดต้องการขึ้นมา เจ้าของไม่ได้ให้ หยิบออกจากฐานก็เป็นอันขาดจากความเป็นพระไปเลย ฉะนั้น...ระมัดระวังไว้ตั้งแต่แรกจะปลอดภัยกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:23 |
สมาชิก 206 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#12
|
||||
|
||||
ถาม : ยันต์ครูและยันต์องค์พระ ที่อยู่ด้านหลังเหรียญฉลองพระอุปัชฌาย์ของทางวัด ยันต์ทั้งสองนี้มีอานุภาพด้านไหนบ้างครับ ?
ตอบ : แพง...! อานุภาพนี้เด่นชัดที่สุดของวัดท่าขนุน ไม่มีราคาถูกเลย ยันต์องค์พระก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นพระพุทธเจ้า พุทโธ อัปปมาโณ ใครจะไปบรรยายหมด อรรถกถาจารย์บอกว่าพระพุทธเจ้าสององค์มานั่งถามตอบกันถึงความดีความสามารถของพระพุทธเจ้าด้วยกัน ถามตอบกันเป็นร้อยปี ยังตอบไม่หมดเลย
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:24 |
สมาชิก 207 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#13
|
||||
|
||||
พระอาจารย์กล่าวว่า "วันที่ ๙ มิถุนายน นาคโกนหัวเสร็จก็บวชเณรก่อน เพื่อถวายพระราชกุศลแด่ในหลวง เพราะว่าในหลวงครองราชย์ครบ ๗๐ ปีวันที่ ๙ มิถุนายนพอดี หลังจากนั้นวันที่ ๑๕ ค่อยบวชพระ เอาอานิสงส์บวชเณรถวายในหลวงก่อน เราเองก็ได้อานิสงส์ไปด้วย
วันที่ ๑๕ บวชพระ กะว่าฉันเช้าเสร็จ เข้าห้องน้ำห้องท่าแล้ว ก็ว่ายาวไปยัน ๑๑ โมง ฉันเพลเสร็จพักเสียหน่อย แล้วก็น่าจะเริ่มประมาณเที่ยง คิดว่าไม่เกิน ๓ ทุ่มน่าจะจบ นั่งกันตั้งแต่ประมาณ ๖ โมงเช้ายัน ๓ ทุ่มนี่สาหัสเหมือนกัน เพราะกะว่าชุดหนึ่งประมาณ ๒๐ นาที ชั่วโมงหนึ่งได้ ๓ ชุด ๓๐ ชุดก็ ๑๐ ชั่วโมง คราวนี้มี ๓๔ ชุด ก็อีกชั่วโมงกว่า ก็เท่ากับ ๑๑ ชั่วโมงกว่า ตีเสียว่า ๑๒ ชั่วโมง รวมเวลาเพลรวมอะไรด้วย ก็น่าจะประมาณ ๑๕ ชั่วโมง คาดว่า ๓ ทุ่มน่าจะเสร็จ"
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 04:25 |
สมาชิก 210 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#14
|
||||
|
||||
ถาม : คาถาหัวใจหมี ใช้ด้านไหนได้บ้างครับ ?
ตอบ : หลวงพี่สมาน ตอนนี้ท่านสึกไปแล้ว ท่านได้คาถาหัวใจหมีมาตั้งแต่ตอนเป็นฆราวาส แล้วท่านก็ไปตีผึ้ง ปรากฏว่าเพื่อนโดนผึ้งต่อยจนหัวหูปูดหมดเลย ท่านบอกเพื่อนว่า "มึงปีนขึ้นไป เดี๋ยวกูท่องคาถาอยู่โคนต้นนี่เอง...! คนปีนก็เลยซวย ความจริงคาถาหัวใจหมีเขาใช้ทางอยู่ยงคงกระพัน ลักษณะเหมือนกับลูกเบา ถ้าเราสังเกตจะเห็นว่า เวลาหมีตกใจจะทิ้งตัวลงพื้นเลย และหมีก็ไม่เคยเป็นอันตรายจากการตกจากที่สูง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 196 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#15
|
||||
|
||||
ถาม : การเรียกภูตในตำราวิชาทางไสยศาสตร์นี้ ภูตในส่วนนี้คืออะไร ? แล้วการเรียกภูตนี้มีอันตรายไหมครับ ?
ตอบ : ถ้าตอบแบบง่าย ๆ ภูตก็คือผีตายโหง ส่วนอันตรายนั้น ถ้าเขาอยู่ของเขาดี ๆ แล้วเราไปกวนเขา ถ้าเอาไม่อยู่ก็ตัวใครตัวมัน...!
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:00 |
สมาชิก 200 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#16
|
||||
|
||||
ถาม : ในการนำมีดหมอมาเข้าพิธี เช่น พิธีมีดหมอเพชราวุธที่ผ่านมา ถ้าบุคคลหนึ่งเป็นพระอริยเจ้า แล้วอีกบุคคลหนึ่งเป็นคนทุศีล ของที่นำมาเข้าพิธีจากสองบุคคลนี้ จะมีอานุภาพต่างกันตามความบริสุทธิ์ของจิตไหมครับ ?
ตอบ : มีอานุภาพเท่ากัน ของเข้าพิธีไม่ได้เกี่ยวกับตัวคน แต่ตอนเอาไปใช้กำลังใจ ของใครเข้มข้นและศรัทธามากกว่าก็มีอานุภาพมากกว่า
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:01 |
สมาชิก 204 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#17
|
||||
|
||||
ถาม : วัตถุมงคลซึ่ง
๑. สำเร็จจากชนวนมวลสารของครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เช่น พระผงอุณาโลมพิมพ์ทรงจิตรลดา พระผงนางพญา สก. เป็นต้น ๒. ได้ผ่านพิธีพุทธาภิเษก ได้รับการอธิษฐานจิตปลุกเสก จากพระเถราจารย์หลายท่าน เช่น พระกริ่งนเรศวรวังจันทน์ พิธีจักรพรรดิ เป็นต้น จะสามารถกล่าวได้ไหมครับ ว่าวัตถุมงคลนั้นเป็นวัตถุมงคลที่รวมกระแสญาณบารมีของครูบาอาจารย์ท่านทั้ง ๒ ข้อดังกล่าวข้างต้น ? ตอบ : ถ้าเป็นผงก็ไม่แน่นัก เพราะผงบางทีก็เอามาจากว่านบ้าง เกสรดอกไม้บ้าง ดินในที่สำคัญบ้าง ยังไม่ได้ผ่านพิธีอะไร จะไปเรียกว่ามีกระแสญาณตามที่ว่ามาก็คงไม่ใช่ แต่ถ้าเป็นการพุทธาภิเษกโดยพระเกจิต่าง ๆ อย่างน้อยก็มีกำลังที่ท่านตั้งใจจะบรรจุลงไปให้ ดังนั้น...ในส่วนของพระผงที่รวมมาจากของสำคัญต่าง ๆ ถ้ายังไม่ได้เข้าพิธีก็ถือว่าไม่มีอะไร จะได้ปลอดภัยไว้ก่อน แต่ถ้าเป็นผงสำคัญที่ได้มาจากการเข้าพิธีไปแล้วก็เป็นอันว่าจบกันตั้งแต่ยกแรก
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 189 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#18
|
||||
|
||||
ถาม : ลูกมีโอกาสใกล้ชิดครูบาอาจารย์และท่านเมตตาแก่คนที่ไปกราบท่าน พร้อมกับแจกของที่ระลึก ใจลูกอยากจะได้คำแนะนำเกี่ยวกับการปฏิบัติ เมื่อพอได้อยู่ตรงหน้าหลวงปู่แล้ว พร้อมกับคนอื่นที่พากันแย่งชิง (กราบขอเมตตาหลวงพ่อ แย่งชิงอย่างหนักหน่วงเจ้าค่ะ) ของที่ระลึกจากหลวงปู่ ลูกก็มีอาการไม่ปกติเจ้าค่ะ
ในขณะที่ลูกนั่งตรงหน้าหลวงปู่ ลูกอยากจะถามเรื่องการภาวนา แต่ปากไม่ยอมอ้า พร้อมกับเห็นใจตัวเองมันนิ่ง เห็นแต่ข้างใน ไม่เห็นกาย นิ่งจ้องหลวงปู่อยู่อย่างนั้น เห็นอาการเข้าสมาธิ ๑ ๒ ๓ ๔ แล้วมันว้าบ กราบขออภัย ไม่ทราบจะใช้ถ้อยคำใดแสดงอาการ มีแสงพุ่งเข้าไปในช่องอก แต่ลูกไม่ได้นั่งหลับตาแน่นอนเจ้าค่ะ ลูกจ้องหลวงปู่ตาแป๋วเลย หลวงปู่ก็มองแล้วมองอีก ลูกก็ยิ้มหวานให้หลวงปู่ คนภายนอกจะเป็นอย่างไร ข้ามหัวห้ามหู มือไม้มาโดนลูกอย่างไร ลูกก็มองไม่เห็น ไม่รู้เรื่องแล้วเจ้าค่ะ เห็นภาพหลวงปู่องค์เดียวตรงหน้า ลูกตกใจกับสิ่งที่ลูกเป็น เพราะใจลูกมันเปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นร่างที่ไม่ใช่ร่างกายในปัจจุบัน มันรู้ตัวนะเจ้าคะ ไม่มีอารมณ์มึนงง เห็นอย่างชัด มันใส ขาว เรือง รูปร่างมันดีเกินกว่าปกติที่เป็น (คล้ายแปลงร่างก็ได้เจ้าค่ะ) แล้วเข้าไปพิจารณาอารมณ์ดูหลวงปู่ ดูอากัปกิริยา ดูอาการ พร้อมกับเปรียบเทียบอารมณ์ของผู้คนที่มารายล้อมหลวงปู่ แล้วคิดว่า ใจท่านทำไมทำได้ขนาดนี้ อดทนได้ขนาดนี้ นิ่งเย็นขนาดนี้ ทำอย่างไรหนอถึงจะทำได้แบบนี้ ต้องทำให้ได้แบบนี้ ตัวอย่างต้องทำแบบนี้ เราจะไปทางนี้ (ลูกต้องบ้าแน่ ได้มองตัวเองแบบประหลาดใจแท้) ลูกเหมือนมี ๒ คนในร่างเดียว คนหนึ่งบอกว่าให้ลุกไปเสีย (แต่เห็นเป็นคนใส่ชุดสวยยืนบอกให้ลุก ยืนบ่นว่าลูกกำลังปรามาสพระ) อีกคนหนึ่ง จับจ้องหลวงปู่อยู่เช่นนั้น หลวงปู่ก็พอทราบ มีลูกคนเดียวที่ท่านไม่ได้ถามว่าจะรับของที่ระลึกของท่านไหม สุดท้ายลูกสะกดจิตตัวเองลุกออกตรงนั้นได้ ด้วยอารมณ์อิ่มใจในความเมตตาของหลวงปู่ ลูกกำลังจะเป็นบ้าหรือไม่เจ้าคะ ทำไมลูกเพี้ยนไปได้แบบนี้ ? ตัวที่แปลงร่างได้ เป็นลูก หรือเป็นผีมาสิงลูกหรือไม่เจ้าคะ ? ตอบ : ได้ตบปากตัวเองหรือยัง ? แล้วได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝาไหม ? ถ้ายังไม่ได้ตบปากตัวเอง และยังไม่ได้วิ่งเอาหัวชนข้างฝา ก็แสดงว่ายังไม่บ้า สองตัวที่อยู่ข้างนอกเป็นเทวดานางฟ้าที่เขามาดูแลเรา ส่วนที่อยู่ข้างในคือตัวเราเอง ที่เปลี่ยนแปลงไปตามลำดับสภาพจิตที่เข้าถึง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:02 |
สมาชิก 181 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#19
|
||||
|
||||
ถาม : ประโยคที่ว่า ธรรมะเป็นของเย็น และรีบร้อนไม่ได้ ขอหลวงพ่อเมตตาอธิบายเพิ่มเติมได้ไหมคะ ?
ตอบ : เราทุกคนเร่าร้อนด้วยไฟรัก โลภ โกรธ หลง ต้องดับด้วยธรรมะที่เป็นของเย็นเท่านั้น ส่วนการที่จะรีบร้อนทำเป็นความอยากจนเกินไป เอาตัณหานำหน้า ทำให้เกิดความฟุ้งซ่าน สมาธิเลยไม่ทรงตัว จึงต้องใจเย็น ๆ เรามีหน้าที่ปฏิบัติ ส่วนผลจะเกิดอย่างไรก็ช่าง
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:03 |
สมาชิก 191 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#20
|
||||
|
||||
ถาม : ในสมัยพุทธกาล พระนางปฏาจาราเถรี เมื่อประสบความทุกข์ขนาดนั้น ท่านสามารถทำใจได้เช่นไรครับ ?
ตอบ : ท่านเห็นชัด ๆ แล้วว่า สามีก็ตาย ลูกก็ตาย พี่ก็ตาย พ่อก็ตาย แม่ก็ตาย พระพุทธเจ้าตรัสว่า น้ำตาที่ไหลออกมาด้วยความเสียใจเพราะญาติพี่น้องตายในแต่ละชาติที่ผ่านมา รวมกันแล้วมากกว่ามหาสมุทรทั้งสี่เป็นไหน ๆ ท่านก็เลยได้สติ พอได้สติก็ตั้งใจเจริญกรรมฐาน คนที่เห็นทุกข์ขนาดนั้นคงไม่มีใครคิดว่าโลกนี้ดี และก็คงไม่มีใครคิดว่าร่างกายนี้ดี ในเมื่อไม่เห็นความดีในร่างกายของตนเอง ก็แปลว่าไม่เห็นความดีในร่างกายของคนอื่น และไม่เห็นความดีในโลกนี้ ในเมื่อสภาพจิตปลดลงได้ วางลงได้ ก็เป็นอันว่าหลุดพ้นไป
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 07-06-2016 เมื่อ 17:04 |
สมาชิก 202 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|