#1
|
||||
|
||||
เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม ๒๕๖๓
ให้ทุกคนตั้งกายให้ตรง กำหนดสติคือความรู้สึกของเราไว้ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจเข้าไป หายใจออก..ให้ความรู้สึกทั้งหมดไหลตามลมหายใจออกมา จะใช้คำภาวนาอะไรก็ได้ ที่เรามีความถนัด มีความชำนาญมาแต่เดิม
อย่าเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย การเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย กำลังใจของเราที่เคยชินกับของเก่า ก็จะวิ่งไปหาของเก่าอยู่เรื่อย ถ้าเราเปลี่ยนคำภาวนาบ่อย ของเก่าก็ยังไม่ได้ ของใหม่ก็ยังไม่ดี สภาพจิตจะฟุ้งซ่านได้ง่าย เพราะว่าส่วนใหญ่แล้ว คำภาวนาเป็นเพียงเครื่องโยงใจให้เป็นสมาธิ เราจะถนัดใช้คำภาวนาแบบใดก็ได้ วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ เมื่อวานนี้เราได้กล่าวถึงการปฏิบัติธรรมว่า ต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน คือหวังความหลุดพ้นไปสู่พระนิพพาน เป้าหมายแรกที่เราต้องยึดหัวหาดให้ได้ คือความเป็นพระโสดาบัน ซึ่งเน้นที่ตรงศีล ๕ เมื่อเรารักษาศีล ๕ เพราะเราเคารพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรารักษาศีล ๕ เพราะเรารู้ตัวว่าจะตาย ตายแล้วเราขอไปพระนิพพาน ดังนั้น...ศีล ๕ จึงเป็นแกนหลักของความเป็นพระโสดาบัน แต่ถ้าจะเอาให้มั่นคงจริง ๆ ก็ให้เพิ่มเป็นกรรมบถ ๑๐ ซึ่งจะควบคุมในส่วนของวาจาและใจคิดให้มากขึ้น ก็คือนอกจากไม่พูดโกหกแล้ว ก็ยังไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดวาจาไร้ประโยชน์ ในเรื่องของความคิด ก็ต้องมีความคิดเป็นสัมมาทิฏฐิ เห็นประโยชน์ในการปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น จึงตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติ ไม่คิดโกรธเกลียดอาฆาตพยาบาทผู้อื่น การไม่พยาบาทผู้อื่นนั้น ความโกรธยังมีได้ แต่เมื่อเรื่องราวเลยไปแล้วให้ลืมความโกรธนั้นเสีย อย่าไปผูกโกรธไว้ เป็นต้น
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2020 เมื่อ 01:58 |
สมาชิก 28 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#2
|
||||
|
||||
คราวนี้การที่เราปฏิบัติแล้วจะมีความก้าวหน้าหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องที่ส่วนใหญ่แล้วนักปฏิบัติธรรมมีความกังวลกันทุกคน ก็ให้เราวัดจากกิเลสหยาบ คือนิวรณ์ ๕ ว่า ในแต่ละวัน ใจของเราโดนนิวรณ์ ๕ กินได้หรือไม่ ? ก็คือใจไปประหวัดถึง รูปสวย เสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสระหว่างเพศ บ้างหรือไม่ ?
ใจของเราไป โกรธ เกลียด อาฆาตแค้น ผู้อื่นหรือไม่ ? เรามีความง่วงเหงาหาวนอน ขี้เกียจปฏิบัติหรือไม่ ? เรามีความลังเลสงสัยในผลของการปฏิบัติหรือไม่ ? เรามีความฟุ้งซ่าน สมาธิไม่รวมตัวหรือไม่ ? นี่เป็นสิ่งที่วัดได้ง่ายที่สุด ถ้ามีนิวรณ์ ๕ อย่างนี้อยู่ในใจของเรา ก็แปลว่าสภาพใจของเราไร้คุณภาพ ตกเป็นทาสของกิเลส โอกาสที่จะก้าวถึงความเป็นพระอริยเจ้าก็ไม่มี จำเป็นต้องขับไล่นิวรณ์ออกไปให้เร็วที่สุด วิธีไล่นิวรณ์ที่ง่ายที่สุดก็คือ ตามดูตามรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าหากว่าสติสมาธิของเราอยู่ที่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้า...ตามดู ตามรู้เข้าไปจนสุด หายใจออก...ตามดู ตามรู้ออกมาจนสุด ก็คือให้ใจของเราอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับตอนนี้ อยู่กับเดี๋ยวนี้ โดยมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอว่าเราต้องตาย หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายอีกเช่นกัน
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 29-01-2020 เมื่อ 02:00 |
สมาชิก 27 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
#3
|
||||
|
||||
ความตายอยู่ใกล้เราขนาดนี้ ถ้าหากว่าตายแล้ว ขึ้นชื่อว่าการเกิดมามีร่างกายที่เต็มไปด้วยความทุกข์เช่นนี้ เราไม่ต้องการ การเกิดมาในโลกที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากเร่าร้อนนี้ เราไม่ต้องการ เราต้องการที่เดียวคือพระนิพพาน เอาใจสุดท้ายของเราจดจ่ออยู่กับพระนิพพานไว้ ถ้ากำลังใจของเรามีพระนิพพานเต็มเปี่ยมเมื่อไร เราก็ไม่ต้องเกาะพระนิพพาน เพราะว่าเราอยู่กับพระนิพพานแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้น ท่านก็จะหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้
ก็แปลว่าอันดับแรก ท่านต้องเกาะ คือเกาะในความดี เกาะในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เกาะในพระนิพพาน หรือว่าเกาะสมาธิ เกาะสมาบัติ แต่เมื่อทำจนเต็มที่แล้ว เราไม่ได้เดินขึ้นบันได ก็ไม่ต้องเกาะราวบันได เพราะว่าเราเข้าไปอยู่ในห้องนั้นแล้ว ก็จะมีการปล่อยวางการยึดเกาะทั้งปวงเองโดยอัตโนมัติ ขอให้ทุกท่านพึงเข้าใจตามนี้ เพราะส่วนใหญ่คิดว่าต้องเกาะถึงจะไปพระนิพพานได้ ถ้าท่านเกาะอยู่ท่านจะไปไหนไม่ได้ แต่ถ้าหากว่าท่านทำถึงแล้ว...ก็ไม่ต้องเกาะเอง ลำดับต่อไปขอให้ทุกท่านตั้งใจภาวนาและพิจารณาตามอัธยาศัย จนกว่าจะได้รับสัญญาณบอกว่าหมดเวลา พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. เทศน์ช่วงทำกรรมฐาน ณ บ้านเติมบุญ วันอาทิตย์ที่ ๕ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๖๓ (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย น้องผักชี)
__________________
........................ เกิดมาทั้งที เอาดีให้ได้ ตายไปทั้งที ฝากดีเอาไว้ อยู่ให้เขาเกรงใจ ไปให้เขาคิดถึง จะเช มัตตา สุขังธีโร ปัญญาชน พึงสละสุขส่วนตน เพื่อสุขยิ่งใหญ่ของส่วนรวม แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย สุธรรม : 30-01-2020 เมื่อ 20:22 |
สมาชิก 21 คน ได้กล่าว "อนุโมทนา" กับคุณ เถรี ในข้อความที่เขียนด้านบน | ||
ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 1 คน ( เป็นสมาชิก 0 คน และ บุคคลทั่วไป 1 คน ) | |
|
|